กล้องวงจรปิดจะเป็นอีกหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะก้าวกระโดดขึ้นสู่ระบบ IoT หรือ Internet of Things …. ยุคที่อุปกรณ์รอบๆตัวเราสามารถต่อกับอินเทอร์เน็ตและรายงานสถานะการทำงานให้เราทราบได้ตลอดเวลา จริงๆแล้ว กล้องวงจรปิดมันก็ทำแบบนั้นมาตั้งนานแล้วล่ะ แต่ปัญหาของกล้องวงจรปิด ทั่วๆไปก็คือ ติดตั้งยากสลัด!! ต้องลากสาย ต้องต่อระบบไฟฟ้าให้มัน ต้องเชื่อมกับกล่อง DVR เวลาจะติดตั้งติดจุดเดียวก็ไม่คุ้ม ต้องติดกัน 8-16 ตัวขึ้นระบบทีหลายหมื่นบาท.. ซึ่งต่อมาภายหลัง เป็นช่องทางให้ IPCamera เข้ามามีบทบาทในจุดนี้
กล้อง IPCamera มีข้อดีคือ ทำงานได้ด้วยตัวของมันคนเดียว ไม่ต้องพึ่งกล่อง DVR ทำให้เวลาเราอยากจะติดแค่ไม่กี่ตัว ประหยัดกว่าเยอะ แต่ปัญหาของกล้องแบบ IPCamera ก็คือ มันยังต้องเสียบสายไฟ .. ซึ่งเจ้าของบ้านก็ต้องหาช่างมาเดินสายไฟไปยังจุดต่างๆของบ้านที่ต้องการจะติดกล้อง
ถ้าจุดนั้นวางบนโต๊ะ บนตู้ได้ก็โอเค แต่ส่วนใหญ่จุดที่เราจะตั้งกล้องวงจรปิดกันมันจะเป็นจุดที่อยู่มุมสูงเพื่อให้มองเห็นภาพรวมของจุดที่เราจะสังเกตการณ์ ทีนี้พออยู่มุมสูง ลากปลั๊กไปก็ไม่ถึง เอารางปลั๊กไปต่อก็หน้าตาอุบาวท์ … ทาง Netgear เลยออกแบบกล้องวงจรปิด ที่เจ้าของสามารถติดตั้งได้ง่ายๆ และไร้สายแบบ 100% … ไม่มีแม้แต่สาย LAN หรือ สายไฟ เพื่อให้คุณติดตั้งและย้ายจุดได้อย่างที่ใจต้องการจริงๆครับ แล้วตั้งชื่อว่า arlo ครับ
กล่องที่ผมได้รับมาทดสอบเป็นรุ่น 3 กล้องครับ ตัวกล่องค่อนข้างใหญ่เหมือนกัน ตัว Package เรียกได้ว่าทำออกมาหน้าตาดูดีเชียวล่ะ ใต้กล่องโฆษณาว่า 100% Wire-Free แปลว่าไม่ต้องต่อสายใดๆทั้งสิ้น แถมยังทนทาน ใช้ติดตั้งได้ทั้ง ในบ้านและนอกบ้านครับ
ข้างหลังกล่องมีบอกสรรพคุณไว้พร้อม มี App รองรับการทำงาน มีระบบ Night Vision ไว้ดูตอนกลางคืน กันน้ำ แถมยังมี Cloud Storage ไว้ให้บริการอีกด้วย
พอแกะออกมา มีกล้อง 3 ตัว กับกล่องเล็กๆ อีก 2 กล่องกับซองอีกหนึ่งซอง ไม่รู้ว่าอะไร เรามาเริ่มที่ซองก่อนละกัน ถ้าเดาไม่ผิดน่าจะเป็นพวกเอกสาร คู่มือ ใบรับประกันอะไรแบบนี้แหงๆ
ใช่แล้วครับ นอกจากใบรับประกันกับคู่มือ (ซึ่งข้ามไปเหอะ) ทาง Netgear ได้แถมสติ๊กเกอร์สีเขียวๆมาสองใบ เพื่อแจ้งเตือนให้ทราบว่า พื้นที่นี้มีกล้องวงจรปิดอยู่นะ ไม่รู้เป็นกฏหมายของประเทศไหนหรือเปล่านะครับ ที่ว่าถ้ามีกล้องวงจรปิดในพื้นที่ จะเป็นที่จะต้องแจ้งให้คนที่เข้ามาในพื้นที่นั้นทราบด้วย
มาดูหน้าตาตัวกล้องกันก่อน ตัวกล้องทำจากพลาสติกที่ท่าจะแข็งเอาเรื่อง ดูหน้าตาแล้วทนทานเลยล่ะครับ ความละเอียดหน้าจอแบบ HD และมีระบบ IR Filter ที่ช่วยให้มองในที่มืดติดตั้งมาด้วย อ้อ ก่อนจะใช้งาน ลอกสติ๊กเกอร์ปิดหน้าเลนส์สีฟ้าๆนี่ออกก่อนนะครับ
ในเมื่อมันเป็นกล้องไร้สายมันก็คงส่งข้อมูลผ่านระบบ Wireless LAN อยู่แล้ว อันนี้ไม่แปลกใจ แต่เรื่องพลังงานล่ะ มันเอามาจากไหน คำตอบก็คือ เป็นกล้องใส่ถ่านครับ กล้อง 1 ตัวใช้ถ่าน 4 ก้อน ซึ่งทาง Netgear ก็เคลมว่าสามารถใช้งานต่อเนื่องได้สูงสุด ครึ่งปี เลยทีเดียว
ก็ถือว่าใช้ได้นะ แต่ที่ยากก็คือ ไอ้เจ้ากล้อง arlo ตัวนี้ ดันใช้ถ่านขนาดพิสดารที่ไม่ค่อยจะมีขายกันทั่วไปในบ้านเราครับ มันคือถ่าน Lithium รหัส CR17345 ผมลองค้นในบ้านเรา ไม่เจอร้านขายเลยแฮะ เจอแต่ร้านที่ขายส่งจาก Alibaba อย่างเดียว โอวมายก็อด สงสัยใครที่ใช้กล้องรุ่นนี้ต้องซื้อตุนซะหน่อยแฮะ เพราะเค้าให้มาในกล่อง แค่ 12 ก้อน หรือพอดีสำหรับใส่กล้อง 3 ตัวในกล่องนั่นแหละครับ
ด้านใต้กล้องเป็นช่องสำหรับใส่ถ่าน แล้วก็จะมีรูน็อตสำหรับใช้กับขา Tripod มาให้ด้วยครับ ถ้ามี Tripod ก็หมุนเข้าไปเลยก็ได้
ไอเดียในเรื่องการติดตั้งที่ผมชอบมากก็คือ ตรงหลังกล้องเป็นแม่เหล็กที่มีแรงดูดสูงมากครับ ซึ่งในกล่องเค้าจะให้ตัวแผ่นโลหะ สำหรับติดกับ เพดาน ผนัง หรือจุดที่คุณอยากจะติดตั้งกล้องตัวนี้ พอยึดเสร็จก็เอากล้องไปแปะ มันจะยึดด้วยพลังแม่เหล็กเลย แถมปรับมุมได้อย่างอิสระ เพราะแรงแม่เหล็กมันสูงมากๆครับ ติดแล้วแทบไม่ขยับไปไหนเลย
แม่เหล็กแน่นๆมาก จับกล้องกลับหัวแบบนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะหลุด
แต่ใช่ว่า เป็นกล้องไร้สาย แล้วจะเอาไปทำงานกับ Router อะไรเลยก็ได้นะครับ เจ้ากล้อง arlo จะทำงานร่วมกับ BaseStation ของ Netgear เท่านั้น ซึ่งก็จะให้มาในกล่องนี้ด้วยแล้ว
ด้านหลังกล่อง BaseStation ก็เหมือนกับ Access Point ทั่วไปเลยครับ มีช่องเสียบสาย LAN ไว้เชื่อม Network เดียวกันกับ Wireless Router หลักของเรา แล้วก็มีช่องเสียบ USB 2.0 อีก 2 Port ซึ่งอ่านในคู่มือ ก็ไม่บอกว่าเอาไว้ทำอะไร ไปค้นใน Forum ของ Netgear เห็นทางนั้นก็บอกว่ายังไม่มีความสามารถอะไรตอนนี้ แต่น่าจะเพิ่มได้ใน Firmware รุ่นหน้า โดยส่วนตัว ผมขอเดาว่าเอาไว้เสียย Flashdrive หรือ External Harddisk เพื่อบันทึกภาพจากกล้องลงไปเก็บใน Harddisk นั่นแหละครับ
ก่อนที่เราจะเริ่มใช้งานก็คงต้องเข้าขั้นตอน Setup กันก่อน อย่างที่บอกว่า เจ้า Netgear arlo ไม่ได้มีความยากอะไรในการใช้งานเลย เริ่มจากเปิดเครื่อง Base Station แล้วเสียบสาย LAN จาก Wireless Router ของเราเข้ากับมัน จากนั้นรอซักพักเพื่อบูทระบบครับ
จากนั้นก็จับกล้อง Sync เข้ากับตัว Base Station ซึ่งวิธีก็คือ ข้างๆกล่อง Base Station จะมีปุ่มที่เขียนว่า Sync อยู่ และบนตัวกล้องก็จะมีปุ่ม Sync อยู่เช่นเดียวกัน เริ่มจากกดปุ่ม Sync บน Base Station ซะก่อน จากนั้นก็กดปุ่ม Sync บนกล้อง รอซักประมาณ 15 วินาที ไฟบนกล้องจะกระพริบ แค่นั้นครับ การ Sync ก็เสร็จแล้ว ซึ่งในชุดนี้มีทั้งหมด 3 กล้อง ผมก็ต้องทำแบบนี้ทั้งหมด 3 รอบครับ
กล่อง Base Station พร้อม ตัวกล้องก็พร้อม ทีนี้ผมทดสอบด้วยการเอากล้องไปแปะ ข้างๆโต๊ะผม ซึ่งโชคดีที่เป็นโลหะอยู่แล้ว เลยแปะเข้าไปโดยที่ไม่ต้องใช้โดมยึดกล้องเลย จากนั้นเปิด App บนมือถือเพื่อ Setup ระบบเลยครับ
App สำหรับควบคุมกล้องตัวนี้ชื่อว่า arlo เหมือนกัน มีทั้งบน iOS และ Android ครับ
Step ที่หนึ่งแน่นอนว่าต้องลงทะเบียนผู้ใช้งานก่อน เราข้ามขั้นตอนนี้ไปกันเถอะ แต่บอกตรงๆ ทำ Facebook Login หรือ Google Login มาหน่อยได้ไหม ขี้เกียจกรอก
เมื่อลงทะเบียนบวกกับผ่านหน้าสอนการใช้งาน เราก็จะเข้ามาใน App ซึ่งตัว App จะแบ่งเป็น 4 หมวดใหญ่ๆ ด้านล่างนะครับ นั่นคือ
- Cameras : ดูภาพและควบคุมกล้องแต่ละตัว
- Library : ดูภาพที่บันทึกไว้บนระบบ Cloud ของ Netgear
- Mode : เปลี่ยนโหมดในการทำงาน
- Setting : ก็เอาไว้ปรับแต่งค่าใน Account ต่างๆ
หน้า Camera ดูภาพสดตอนที่กล้องกำลังทำงานอยู่ จะสั่งให้บันทึก ภาพวีดีโอหรือภาพนิ่งก็ได้ ปรับค่าแสงหรือยิง IR Filter ได้หมด
โหมด Library จะดูภาพย้อนหลังที่เราบันทึกเอาไว้ ผ่านระบบ Motion Detector .. กล้อง arlo มันไม่เหมือนพวกกล้องวงจรปิดทั่วไปครับ มันจะบันทึกเฉพาะเหตุการณ์ที่มีอะไรเคลื่อนไหวผ่านหน้ากล้องเท่านั้น นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำไมมันถึงทำงานได้ยาวนานครึ่งปี มันไม่ได้ทำงานตลอดเวลานั่นเอง
และในหน้าโหมดนี่แหละครับ คือหน้าที่จะปรับแต่งว่าจะให้กล้องไหน เริ่มเปิดระบบ Motion Detector ตอนกี่โมงกี่ยาม จะปิดไว้ตลอด หรือเปิดไว้ตลอดก็ได้ คำแนะนำของผมก็คือ ถ้าเป็นกล้องที่ใช้ดูเรื่องความปลอดภัย เช่นตรวจประตูหลัง หรือหน้าบาน คุณอาจจะตั้งเวลาให้ระบบ Motion Detector ทำงานตอนคุณไม่อยู่บ้านก็ได้เช่น ตอน นอน (หลัง 4 ทุ่ม ไปจนถึงตอนเช้า) หรือ ตอนออกไปทำงานแล้ว ( 9 โมง – 6 โมงเย็นอะไรแบบนี้)
ในหน้า Setting ก็จะเป็นการปรับแต่งทั้งหมด ซึ่งปรับแต่งเยอะมาก แบ่งเป็น 3-4 ส่วนได้ครับ เช่นพวก Account Setting ดูว่า Account เราเป็นแบบไหน ถ้า Account ฟรี ก็ได้พื้นที่บน Cloud แค่ 1GB เท่านั้น แต่ถ้าจะซื้อเพิ่ม ตอนนี้ package ยังไม่ออกครับ ยังซื้อเพิ่มไม่ได้นะ
สำหรับ BaseStation 1 ตัวสามารถรองรับกล้องได้ 5 ตัวครับ แปลว่าถ้าอยากติดกล้องมากกว่านี้อาจจะต้องซื้อ Base Station เพิ่มนะ ราคาจุกเอาเรื่องเหมือนกัน
สำหรับคุณภาพของภาพ ก็ Download มาให้ดูกันล่ะครับ อันนี้เป็นภาพที่บันทึกไว้ตอนออกไปกินข้าวข้างนอกโดยปล่อยเจ้าสองแสบ เมล่อนกับโทนี่ไว้ที่บ้าน แล้วให้กล้องทำ Motion Detect เพื่ออัดคลิปไว้ 10 วินาทีทุกครั้งที่มีการเคลื่อนไหว เวลาที่อัดคือประมาณทุ่มกว่าๆ ข้างนอกมืดข้างในห้องเปิดไฟปกติ ตัวกล้อง arlo มีความกว้างในการจับภาพทั้งหมด 110 องศา ก็สามารถเห็นขอบเขตภาพได้ชัดเจนดีครับ
สำหรับไฟล์นี้เป็นภาพตอนกลางคืน ผมเดินออกจากห้องไปทิ้งขยะ แล้วตัวกล้องก็จะตัดมาเป็นระบบ Night Vision โดยอัตโนมัติ สังเหต ดูตรงรองเท้าของผม จะสะท้อนแสงกับตัว Infrared ด้วย ภาพชัดเจนดีครับ
ใช้เจ้ากล้องตัวนี้มาประมาณอาทิตย์กว่าๆ ขอบอกเล่าสิ่งที่ชอบและไม่ชอบเกี่ยวกับเจ้า Netgear arlo ตามนี้ละกันนะครับ
- ติดตั้งง่ายสมชื่อ งานที่ยากที่สุดสำหรับการติดตั้งเจ้า arlo น่าจะเป็นการยึดเพลทโลหะเข้ากับฝาบ้าน หรือเพดาน ซึ่งก็ไม่น่าจะยากเกินความสามารถของมนุษย์ครับ เพราะใช้น็อตแค่ตัวเดียวก็ยึดได้แล้ว ง่ายมากๆ
- Sync ก็ง่าย กล้องทั้ง 3 กดปุ๊บ Sync ปั๊บ ไม่มีปัญหาอะไรแผลงๆให้เห็น เหมือนกับที่ทุกทีผมเคยเจอเวลาจับอุปกรณ์ไร่สายสองตัวคุยกัน
- App ทำงานรวดเร็ว ครบเครื่อง การที่บันทึกภาพบน Cloud มีข้อดีอย่างนึงคือ ภาพที่บันทึกไว้ไม่หายไปไหน เพราะส่วนใหญ่เวลาเกิดปัญหากับระบบกล้อง มันจะทำให้ภาพหายไปด้วย หรือโจรที่บุกเข้ามาขโมยของ พอมันเห็นระบบกล้อง มันจะทำลายกล่อง DVR หรือ เอากล่องไปด้วยเพื่อทำลายหลักฐานครับ ดังนั้นอัดขึ้น Cloud ไปเลยก็ปลอดภัยดี แต่ก็อย่างว่าแหละ พื้นที่ 1GB ที่ยังซื้อเพิ่มไม่ได้ ตอนนี้อาจจะน้อยไปหน่อย ถ้าจะเก็บภาพที่บันทึกเอาไว้ให้นานๆ
- อย่างที่บอกไป เพราะมันเป็นกล้องที่ทำงานเฉพาะเวลาที่เราดู หรือเวลาที่มีการบันทึกบนระบบ Motion Detect เท่านั้น ทำให้มันสะดวก และ ไม่สะดวกในเวลาเดียวกัน สะดวกในแง่การใช้งาน การติดตั้ง แต่สำหรับคนที่ต้องการบันทึกภาพในจุดที่จริงจัง แบบอัดไว้ตลอด 24 ชั่วโมง อันนี้อาจจะไม่สะดวกต้องไปเลือกกล้องตัวอื่น
- ถ่านที่หาซื้อยากสลัสสสส สงสัยต้องสั่งถ่านจาก Alibaba ไว้ก่อนซัก 100 ก้อน เผื่อไว้ซัก 2-3 ปี
- ปิดท้ายที่ราคาครับ… Netgear arlo รุ่น 3 กล้อง ราคา 24,xxx บวกลบ นิดหน่อยแล้วแต่ร้าน ส่วน Netgear arlo รุ่น 2 กล้อง ราคา 18,xxx บาท บวกลบนิดหน่อยเช่นเดียวกัน ราคาค่อนข้างสูง แต่ถ้าเทียบกับกล้องวงจรปิดเหลาเหย่จีนแดงที่มาขาย Pack 5 ตัว 20,000 บาทพร้อมกล่อง DVR แล้วต้องมาลากสาย ผมว่าตัวนี้ก็ไม่เลวเหมือนกันครับ