Home -> Review -> รีวิว Samsung Galaxy S+

รีวิว Samsung Galaxy S+

ผมเคยรีวิว Samsung Galaxy S [ ตอนที่ 1 , ตอนที่ 2 ] สุดยอด Smartphone สาย Android ที่สุดยอดมากๆ ไปเมื่อปีก่อนโน้น.. ซึ่งการมาของ Galaxy S ทำให้ หลายๆคนต้องหันมามอง Samsung เลย ว่า โอ๊ะ Smartphone ที่เป็น Android ฝั่งเกาหลี ก็สร้าง ปรากฏการณ์กับเค้าได้เหมือนกันนิ ซึ่งในปีนี้ ทาง Samsung ก็ส่ง Galaxy Series ออกมาให้เพียบ และทำการคืนชีพให้อดีตเรือธงอย่าง Samsung Galaxy S ให้สเป๊กแรงมากขึ้น ในราคาถูกลง และใช้ชื่อว่า Samsung Galaxy S+ ครับ

สงคราม Smartphone ระดับสูง เป็นสังเวียนของพวก CPU แบบ Dual Core CPU แบบ Samsung Galaxy S2 , HTC Sensation , LG Optimus 2X และ Morotola Atrix 4G ซึ่งสังเวียนนี้มีผู้เล่นระดับค่าตัว 18,xxx ขึ้นไปกันทั้งนั้น แต่ Smartphone ช่วง 14,xxx – 16,xxx ก็เป็นช่วงที่น่าเล่นที่สุด เพราะกำลังซื้อของผู้ซื้อยังพอรับได้ และ ด้วยราคานี้ ก็ยังได้เครื่องที่เรียกได้ว่า สเป๊กแจ๋วมากมายอยู่ได้อีกเป็นปีเลยล่ะครับ ซึ่ง Samsung ก็ส่ง Samsung Galaxy S+ มาเล่นในตลาดนี้แหละครับ

ถ้าถามถึงหน้าตา ก็ไม่ต้องห่วงเลย เพราะหน้าตาเดิมขนาดเท่าเดิม แต่อาจจะหนากว่าเดิม นิดดดดดดดดดดเดียวเท่านั้น (ปล. อันนี้จับจากความรู้สึกที่เคยจับ Galaxy S มา เท่านั้น ไม่ได้วัดแบบจริงจัง) แต่ก็ทำให้เหมือนจับเต็มไม๊เต็มมือขึ้นอีกนิด ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมาอยู่ 4 เรื่องด้วยกันนั่นคือ

  1. CPU ที่ได้รับการอัพเกรดจากเดิม Hummingbird 1GHZ ให้กลายเป็น Scorpion 1.4 Ghz
  2. GPU จาก PowerVR SGX 540 ให้กลายเป็น Adreno 205 [ดูผลการทดสอบระหว่าง GPU 2 ตัวนี้ ได้ที่นี่)
  3. Battery ที่ได้รับการขยายเพิ่มจากของเดิม 1,500 mAh ให้กลายมาเป็น 1,650 mAh
  4. เลิกใช้ File System แบบ RFS ซึ่งระบบ File System แบบเก่านี้ มันไม่รองรับการเขียนแบบ Multiple Write ทำให้ Galaxy S บางที ก็มีกระตุกๆ เวลาทำงานหนักๆ พอเลิกใช้ใน Galaxy S+ แล้ว โอ้แม่เจ้า ลื่นปริ๊ดๆ
ที่เหลือยังเหมือนเดิมทุกประการ โดยเฉพาะ หน้าจอ Super AMOLED ที่เป็นของประจำ Galaxy S ก็ยังกลับมา ด้วย เรียกได้ว่า ทำให้ได้เปรียบคู่แข่งคนอื่นอย่างหลายขุมเลยทีเดียว เอ้า มาดู Spec คร่าวๆกันก่อน
  • 2G Network : GSM 850 / 900 / 1800 / 1900
  • 3G Network : HSDPA 900 / 1900 / 2100
  • ขนาดรูปทรง : 122.4 x 64.2 x 9.9 mm
  • น้ำหนัก : 119 g
  • หน้าจอ : Super AMOLED capacitive touchscreen, 16 ล้านสี
  • ขนาดหน้าจอ : 480 x 800 pixels, 4.0 inches และความทนทานระดับ Gorilla Glass display
  • หน่วยความจำ : 8 และ 16 GB storage และมีแรม 512 MB กับรอมอีก 2GB
  • Card slot : microSD รองรับหน่วยความจำสูงถึง 32GB
  • 3G : HSDPA, 14.4 Mbps; HSUPA, 5.76 Mbps
  • WLAN : Wi-Fi 802.11 b/g/n, DLNA, Wi-Fi hotspot
  • Bluetooth : v3.0 with A2DP
  • USB : v2.0 microUSB
  • กล้อง : กล้องหลังขนาด 5 MP, 2592 x 1944 pixels แบบ Auto Focus
  • ความสามารถพิเศษของกล้องหน้า : Geo-tagging, touch focus, face and smile detection
  • ความสามารถถ่าย Video : สูงสุดที่ 720p@30fps
  • กล้องหน้า : ความละเอียดระดับ VGA(640 x 480)
  • ระบบปฏิบัติการ : Android OS, v2.3 (Gingerbread)
  • CPU 1.4 GHz Scorpion processor, Adreno 205 GPU, Qualcomm MSM8255T Snapdragon
  • สีตัวเครื่อง : มี 2 รุ่น คือ ดำกับขาว
  • GPS Yes, with A-GPS support และมี เข็มทิศ Digital
  • แบตเตอรี่ : Li-Ion 1650 mAh
  • รอรับสาย : 750 ชั่วโมงบนเครือข่าย 2G และ 625 h บนเครือข่าย 3G
  • คุยต่อเนื่อง : 12 ชั่งโมง 50 นาทีบนเครือข่าย 2G และ 6 ชั่วโมง 30 นาที บนเครือข่าย 3G
ผลการทดสอบด้วย Quadrant ก็จะเห็นว่าได้คะแนน ประมาณ 1200 – 1300 คะแนน ซึ่งก็วิ่งสูสีกับ Nexus One ตัวที่โมเป็น Android 2.2 เลยทีเดียว ซึ่งผมได้ทดสอบใช้งานหนักๆ ทั้ง Twitter , Facebook , Google Reader รัวๆ ถ่ายรูป , ถ่ายวีดีโอ ก็พบว่า กดสั่งแล้วมาเลย ไม่อุ้ยอ้าย
ฟันธงเลยดีกว่า
ข้อดี : เมื่อถอดเอา ระบบไฟล์แบบ RFS ออกและเพิ่ม CPU และ GPU ตัวใหม่ ทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับ การตอบสนองไวขึ้น เร็วขึ้น ส่วนเกมก็ไม่ต้องพูดถึง เล่นได้แบบเนียนๆ แถมหน้าจอ AMOLED ในราคา 14,xxx ก็เป็นตัวเลือกที่สุดยอดมากๆ
ข้อเสีย : ถึงแม้ว่า จะเป็นการเอา Body ของ Galaxy S กลับมาใช้อีกครั้ง แต่ก็น่าจะเพิ่ม LED Flash ให้กับกล้องถ่ายรูปหน่อยก็ยังดี เพราะตัวกล้องทำงานได้ค่อนข้างดี แต่เสียอย่างเดียว ถ่ายตอนกลางคืนแล้วจะเป็นลม เพราะ Noise เยอะ สีเพี้ยน ถ้ามี Flash ช่วย ก็ยังเอาตัวรอดได้ แต่ดันไม่ได้ใส่มาให้
ข้อสรุป : เป็นโทรศัพท์ที่คุ้มราคามาก เพราะ CPU เร็ว แรมเยอะ แถมยังมีหน่วยความจำให้ถึง 16GB พร้อมกับหน้าจอ Super AMOLED แถมเครื่องนี้ยัง รูทไปลง ROM เทพๆ ได้อีกเพียบ เป็นตัวเลือกที่คุ้มราคาดีครับ

Check Also

รีวิว Auto-Empty Dock ของที่ต้องมีถ้ามีคุณ Roborock s7

ไม่ต้องเกริ่นเยอะ สำหรับคนที่ใช้งานหุ่นยนต์ทำความสะอาด ถึงแม้ว่ามันจะสะดวกสบายก็เถอะ แต่มันก็ยังเหลือ ภาระนิดๆ ให้คุณต้องมาจัดการบ่อยๆ นั่นก็คือ ต้องเอาฝุ่นใน Dustbin มันมาทิ้ง!! Facebook iconFacebookTwitter iconTwitterLINE iconLine

Leave a Reply