Home -> Blog -> บรรยากาศจากงาน Apple’s Fall 2010 Event

บรรยากาศจากงาน Apple’s Fall 2010 Event

เอ้า ก็ได้เวลากลับมาทำหน้าที่บรรยายรายละเอียด Keynotes ของ Steve Jobs ประจำปีอีกแล้ว ตอนที่ผมกำลังพิมพ์ Blog ตอนนี้อยู่ก็เกือบตี 3 ครึ่งเข้าไปแล้ว หลังจากที่นั่งชม Live จากทางเว็บของ Gizmodo.com แล้วก็อ่านซ้ำอีกรอบจาก Engadget.com แล้วก็เอามาสรุปให้ฟังกันอีกรอบนะครับ ใครที่ชอบอ่านบรรยากาศ Live แบบนี้ก็กลับไปอ่านตอนเก่าๆของผมได้ [WWDC2010 / Rock and Roll Event / WWDC 2009]   ส่วนงานวันนี้ จะเป็นอะไรนั้น คลิกเข้ามาอ่านเลยครับ

สำหรับงานนี้ ทาง Apple ใช้ชื่อว่า Apple’s Fall 2010 Event .. ตามข่าวลือที่ได้มาจากสารพัดแหล่งข่าว เห็นว่าจะเปิดตัว iPod ใหม่ เพราะตัว iPod นั้นไม่ได้อัพเดทมานานมากแล้ว น่าจะถึงเวลาอัพเดทเสียทีครับ งานคราวนี้ก็จัดที่ Yerba Buana Center for the Arts ใน California นะครับ งานเริ่ม 10:00 ตรงเป๋ง และ Logo ของงานนี้ ผมว่าเท่ดีครับ

สำหรับประเทศไทยงานก็เริ่มต้นตอนเที่ยงคืนพอดีนะครับ มี Blogger ออนไลน์อยู่เพียบใน Twitter เพื่อชม Live Coverage ครั้งนี้

10 โมงตรง Steve Jobs ก็ยิ้มแฉ่งเดินออกมาอย่างเริงร่า คงเพราะฟันกำไรไปจากสาวกอย่างเราให้เพียบ
ออกมากล่าวสวัสดีเล็กน้อย พร้อมกับบอกว่า งานนี้จะมีของเจ๋งๆเปิดตัวอีกเยอะ แต่ขอเริ่มจากร้านขายสินค้าของ Apple หรือที่เรียกว่า Apple Store ก่อน
สาขาใหม่ที่เปิดที่แรกก็คือ Paris ใช้เวลา 18 เดือนในการตกแต่งร้าน โอ้แม่เจ้า
อีกแห่งนึงคือประเทศจีน เปิดที่เซี่ยงไฮ้ โดยที่ออกแบบโดมแก้วให้เป็นทรงกลมแล้วเดินลงไปยังร้านที่อยู่ใต้ดิน
และสุดท้ายที่สาขาลอนดอน เปิดกลางสวนสาธารณะ Covert Garden เลยครับ ออกแบบเป็นโดมแก้วเหมือนของที่จีนเลย
สรุปสั้นๆเรื่อง Retail Store จาก Apple ก็คือ ตอนนี้มีอยู่ใน 10 ประเทศแล้ว , มีคนเข้าวันละ 1 ล้านคนทุกวัน , 50% ของลูกค้ามาเพื่อซื้อ Mac เครื่องแรก
ของเทพอย่างที่ 2 ที่กล่าวถึงก็คือ iOS ครับ ระบบปฏิบัติการของอุปกรณ์พกพาโดย Apple โดยรวมแล้วก็คือ ตอนนี้มีอุปกรณ์ 120 ล้านชิ้นที่ใช้ iOS / มีเครื่องใหม่ Activate กว่า 230,000 เครื่องทุกวัน
ส่วน Apps ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 250,000 Apps แล้ว และแถมด้วย iPad App ตอนนี้ก็มีอยู่ 25,000 Apps แล้วเช่นกัน ยอดดาวน์โหลดอยู่ที่วินาทีละ 200 Apps ครับพี่น้อง โอ้แม่เจ้า
และของที่จะเปิดตัวเป็นชิ้นที่ 2 นั่นก็คือ iOS 4.1 ครับ
แก้ปัญหามากมาย เช่น Sensor วัดระยะเพี้ยน , Bluetooth ติงต๊อง , เวลาลงกับ iPhone 3G แล้วช้าอะไรแบบนี้เป็นต้น พร้อมทั้งเพิ่มความสามารถ ถ่ายรูปแบบ HDR , Upload วีดีโอแบบ HD ผ่าน Wifi , เช่าหนังมาดู และระบบ เกมเซ็นเตอร์
เทคนิคการถ่ายภาพแบบ HDR ก็คือ ตอนถ่ายกล้องก็จะถ่ายรูปมาแยกแบบกัน 3 รูป นั่นคือ รูปแบบ Highlight , Shadow แล้วก็ Midrange ครับ
พอถ่ายเสร็จแล้วก็จะเอา 3 รูปมารวมกัน ผลที่ได้ก็คือ ภาพจะมีมิติมากขึ้นและจะสว่างทั่วกันทั้งภาพ หรือลองไปดูตัวอย่างรูป HDR ได้ที่นี่ครับ
ตัวอย่างเปรียบเทียบ ภาพถ่ายปกติ กับ ถ่ายด้วย HDR ผมว่าที่ Apple ทำแบบนี้ออกมาคงเพราะ Android มันมี App ที่ถ่ายรูปเป็น HDR ได้เยอะล่ะมั้ง
ฟีเจอร์เด่นอีกอย่างของ iOS 4.1 นั่นก็คือ Game Center ครับ เป็นเหมือนระบบที่คอยจัดการบริหารเกมที่ต้องเล่นออนไลน์ หรือ เล่นหลายๆคน ทำให้เราสามารถส่งคำท้าประลองไปหาเพื่อนได้ ดูอัพเดทคะแนนออนไลน์ได้ หรือนัดเพื่อนเล่นเกมได้
สามารถส่ง สาสน์ท้าประลองมาได้แบบนี้เลยทีเดียว
ช่วงนี้ Steve Job หมดแรงข้าวต้มเลยส่งต่อให้ Mike Capps จาก Epic เกม ขึ้นมาเดโมเกมที่จะเล่นในระบบ Game Center ชื่อว่า Project Sword ครับ
Project Sword เป็นเกมออนไลน์แบบ MMORPG ซึ่งมีรายละเอียดภาพสูงมากๆ
ทาง Mike ก็ทดสอบด้วยการเล่น 2 คนผ่าน Game Center ให้ดู ซึ่งก็เล่นแบบสู้กันให้ดู ตรงนี้ผมไม่ได้ดูวีดีโอเลยไม่รู้ว่า Lag หรือ ลื่นหัวแตกแค่ไหนนะครับ
แล้ว Steve Job ก็กลับมาอีกครั้งเพื่อมาบอกว่า iOS 4.1 นั้น !!
จะเปิดตัวให้อัพเดทฟรี อาทิตย์หน้านั่นเอง...
แต่ก็แอบมีของแถมเล็กน้อย นั่นคือ Preview แบบน้ำจิ้มๆ ของ iOS 4.2 นั่นเองครับ
นั่นก็คือ ความสามารถที่จะเพิ่มให้ iPad นั่นเองครับ ก็จะมี 2 เรื่องได้แก่ Printing กับ Airplay
เราสามารถ Print ผ่าน iPad กันได้แล้ว โดยใช้ Wifi
และความสามารถที่สองที่ชื่อ Airplay ก็คือการ Stream ไฟล์วีดีโอและเพลงผ่านเครือข่ายในบ้านได้นั่นเองครับ
พร้อมกับประกาศเลยว่า iOS 4.2 จะพร้อมให้ดาวน์โหลด พฤศจิกายนนี้จ้า
และแล้วก็ถึงพระเอกของงานคร้าบ นั่นก็คือ iPod นั่นเอง ตำนานของ iPod เริ่มต้นเมื่อปี 2001 ที่ Steve Job อยากจะทำเครื่องเล่นเพลงที่เป็นมากกว่าเครื่องเล่นเพลง ซึ่งตอนนั้นมีแต่ MP3 Player กิ๊กก๊อก ที่มีขนาด 128Mb ออกมาขายกันใหญ่ พี่แกเลยเปิดตัว iPod ที่มี HDD ขนาด 5Gb กันไปเลย อยากลองอ่านประวัติ iPod ก็ไปที่ Wiki เลยคร้าบ
เปิดตัวที่รุ่นน้องเล็กสุดกันก่อน ก็คือ iPod Shuffle นั่นเอง เจ้า Shuffle นี่เกิดมาตั้งแต่ปี 2005 ตอนนี้มีอยู่ 3 Generation แล้วครับ
จุดเด่นของ Shuffle ก็คือ เล็ก และสะดวก นั่นเอง ตัวใหม่ก็เลยเหมือนเอารุ่น 2 มาทำให้มันเล็กลง และเพิ่มปุ่มควบคุมเข้าไปให้มันใช้งานสะดวกมากขึ้น
โดยรวมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากเท่าไหร่ ก็เล่นเพลงตาม Playlist , ทำ Genius Mix ได้ แล้วก็ VoiceOver เพื่อบอกชื่อนักร้อง หรือชื่อเพลงได้
แบทอึดกว่าเดิมคืออยู่ได้ 15 ชม. จากของเก่าที่ 10 ชม.
มี 5 สีด้วยกัน ใครมีครบเรียกหุ่นยักษ์มาสู้กับสัตว์ประพลาดได้
ความจุเหลือแค่แบบ 2Gb โดยที่ราคาก็เท่าเดิมนั่นคือ 49$ หรือประมาณ 1,800 บาท
ต่อจาก Shuffle ก็ย้ายมาเป็น iPod Nano เปิดตัวครั้งแรกประมาณปี 2005 เช่นกัน จะว่าไปแล้วก็เป็น iPod เครื่องแรกที่ผมมีด้วยนะเนี่ย ตอนนี้ก็ออกมา 5 รุ่นแล้ว
Steve Job บอกว่า อยากจะให้ iPod Nano เล็กกว่านี้แต่ติดอยู่ที่ ปุ่มควบคุมมันต้องมี พี่แกก็เลยใช้วิธีตัดปุ่มควบคุมออกแล้วเปลี่ยนหน้าจอเป็นระบบสัมผัสซะเลย แถมเป็น Multitouch ซะด้วยครับ โอว
สรุปความสามารถคร่าวๆ ก็คือ หน้าจอระบบสัมผัสแบบ Multitouch / เล็กกว่าเดิม 46% เบากว่าเดิม 42% / มี Clip หนีบในตัวไม่ต้องใช้ Arm Band แล้ว / มีระบบ VoiceOver แบบใน Shuffle ด้วย / รองรับ FM Radio / รองรับระบบนับก้าวของ Nike+ / ใช้ได้ 29 ภาษา
ส่วนตัวแล้ว ผมว่ามันแหม่งๆดี เพราะถีงหน้าจอจะสัมผัสแต่มันก็เล็ก ไม่รู้มันจะใช้งานสะดวกแค่ไหน แต่ใน Twitter มีคุยกันว่า แบบนี้ถ้าออกแบบ ปลอกให้กลายเป็นสายรัดข้อมือ มันจะเป็นนาฬิกาที่โคตรเท่มาก อันนึงเลย แถมแบทอีดมาก ฟังเพลงได้ต่อเนื่อง 24 ชม. เลยทีเดียว
จะว่าไปตัวหน้าตาก็ชักจะคล้าย iPhone เข้าไปทุกที เพราะสามารถลาก App ไปวางตามใจชอบได้
มีทั้งหมด 6 สีด้วยกัน สนนราคาคือ 149$ สำหรับ 8GB และ 179$ สำหรับ 16GB ครับ
ต่อด้วยรูปหล่อสุดในงานที่ Steve Job ขนาดนามมันว่า iPhone ที่โทรไม่ได้ นั่นคือ iPod Touch คร้าบ
ยอดขายของ iPod Touch นั้น ชนะ Nintendo และ Sony รวมกัน ... ( แหมไม่ค่อยเลยนะ มันคนละตลาดเห็นๆ)
การปรับปรุงของ iPod Touch ก็คือ เปลี่ยนหน้าจอเป็น Retina Display แบบ iPhone / ใช้ CPU เป็น Apple A4 / มี Gyro สามมิติ / พร้อมกับ iOS 4.1 และ กล้องหน้าที่ทำ Facetime ได้ และกล้องหลังที่ถ่ายวีดีโอแบบ HD ได้
แบทอึดแบบโคตรพ่อที่ 40 ชม. (อยากรู้ว่าถ้าต่อ Wifi ด้วยจะเหลือเท่าไหร่)
มีกล้องหน้าไว้ทำ Facetime และกล้องหลังไว้ถ่ายวีดีโอแบบ HD .. มันก็เลยตัดต่อหนังด้วย iMovie ได้ด้วย
ค่าตัวของ iPod Touch ก็ตามรูปเลยนะครับ ผมว่าตัว 32GB มันน่าสนแฮะ
iPod ทุกตัวพร้อมให้สั่งอาทิตย์หน้า
และของที่คู่กันกับ iPod และ อุปกรณ์พกพาทุกอย่างของ Apple นั่นคือ iTunes ครับ คราวนี้เปิดตัวเวอร์ชั่น 10
มีการเปลี่ยน Logo ด้วย
ความสามารถใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน iTunes 10 นั่นก็คือ Ping ครับ เป็นเหมือนระบบ Social Networking ใน iTunes
ความสามารถของ Ping จะเหมือน Twitter และ Facebook นั่นก็คือ เวลามีใครทำอะไรกับเพลง มันก็จะแจ้งเตือนให้เรารู้ด้วย เช่นเพื่อนซื้อเพลงอะไร หรือฟังเพลงอะไร
เราสามารถติดตามศิลปินได้เหมือนใน Twitter เลย แต่ไม่ใช่ Twitter นะ ซึ่งด้วยระบบ Ping นี้ เหมือนจะกลายๆว่า ศิลปินที่มีเพลงขายใน iTunes จะต้องมาเปิด Profile ที่นี่เพื่อให้เรา Follow ก็ได้
มีระบบ Ping Chart เพื่อจัดอันดับเพลงจากการใช้ Ping ด้วย
นอกจากเปิดตัว iPod ใหม่กับ iTunes 10 แล้ว งานนี้ยังมีการปลุกผีอีกด้วยนั่นก็คือ Apple TV
Steve Jobs บอกว่า ของมันดีนะ แต่มันแป๊ก ก็เลยมาศึกษาว่าทำไมมันแป๊กนั่นก็คือ คนที่ซื้อไป ไม่ได้อยากได้ Storage / ไม่อยากมานั่ง Sync เจ้า Apple TV / อยากดูชัดๆแบบ HD / ไม่อยากปวดหัว แค่อยากกดแล้วดูเลย ก็เลยออกมาเป็น Apple TV โฉมใหม่
กลายเป็นว่าเจ้า Apple TV กลายเป็นเครื่องเช่าหนัง HD ขอรับท่าน .. มีทั้งหนัง รายการทีวี ซีรีส์ ไม่ต้องต่อคอมพิวเตอร์ด้วย แถมหนังเช่าราคาถูกมากๆ
เทียบขนาด Apple TV รุ่นเก่ากับรุ่นใหม่
ขนาดเหลือแค่ฝ่ามือ โอ้มายก๊อด แบบนี้แบกไปดูหนังนอกบ้านสบายๆ
เปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีดำเพื่อให้เข้ากับสีของอุปกรณ์ AV สมัยนี้ .. มี HDMI , Ethernet แล้วก็ Wifi
ใช้ Apple Remote ในการควบคุม
สำหรับค่าเช่าหนัง HD ราคาแค่ 4.99$ หรือประมาณร้อยกว่าบาทเท่านั้น ถูกกว่าตั๋วหนังอีกแฮะ
รายการทีวีเมื่อก่อนต้องจ่าย 2.99$ .. คนดูบอกแพงไป ป๋าจัดให้ ลดราคาเหลือแค่ 0.99$ เท่านั้น แถมเป็น HD ด้วย
โฉมหน้าเมนูของ Apple TV
มีการดึงเรทติ้งจาก Rotten Tomato แล้วก็พวกบทวิจารณ์มาให้ตัดสินใจก่อนเช่าด้วย
แอบแถม Slideshow หน่อยนึงว่าใน Apple TV ก็ทำได้เหมือนกันนะ
ความสามารถ Airplay ที่เอาไว้ Steam หนังจาก iPad นั้นก็สามารถส่งเข้า Apple TV ได้ด้วยเช่นกัน
และราคาของ Apple TV น่าตกใจมากครับ แค่ 99$ เท่านั้น โห...
จากนั้นก็สรุปปิดท้ายกันซักรอบ ไม่ว่าจะเป็น iOS 4.1 / iPod ใหม่ยกแผง / iTunes 10 และ Apple TV
ปิดท้ายด้วย Mini Concert จาก Chris Martin นักร้องนำจากวง Coldplay ครับ เสียงกริ๊ดลั่นฮอลล์เลยทีเดียวก็จบงานนี้แล้วนะคร้าบ

สรุปคร่าวๆ ผมคิดว่า งานนี้ก็ถือว่า Apple ทำการ Recycle เทคโนโลยีของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น Retina Display , Multitouch , ไจโรสามมิติ , Facetime ไปแบ่งๆใส่อุปกรณ์ตัวอื่นได้อย่างลงตัว และทำให้บรรดาสาวกของศาสดา หน้ามืดตามัว อยากได้สินค้าเหล่านั้นมาเป็นของตัวเองมากขึ้นไปอีก

สำหรับผมแล้ว งานนี้ที่น่าประทับใจน่าจะเป็น iPod Touch 8GB ที่ราคาถูกแต่อัดแน่นไปด้วย เกือบจะทุกเทคโนโลยีของ Apple … เรียกได้ว่าใครเป็นหน้าใหม่ของลัทธินี้ ซื้อตัวนี้คุ้มราคาสุดแล้ว เพราะคุณจะได้สัมผัสครบทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น เพลง , หนัง , เกม , App , AppStore , iTune Store , Retina Display , Facetime ครับ

ตี 5.20 แล้ว เขียนเสร็จพอดี ขอบคุณที่ติดตามนะครับ ขอไปนอนก่อนนะคร้าบ อ้อ แถมท้ายให้หน่อย นั่นก็คือ โฆษณาตัวใหม่ของ iPod Touch และ iPod Nano ประจำปี 2010 คร้าบ

httpvhd://www.youtube.com/watch?v=Q9ss_ULAago

httpvhd://www.youtube.com/watch?v=jbUBa5PUVMk

Check Also

การเรียนรู้รูปแบบใหม่ของ ม.กรุงเทพ ที่ทำให้อยากกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง

นี่คือความรู้สึกของผมจริงๆ ตอนที่นั่งฟังอยู่ในงานแถลงข่าวเปิดตัวหลักสูตรใหม่ของมหาวิทยาลัยกรุงเทพ เมื่อวันอังคารที่ 18 มิถุนายน 2019 ที่ผ่านมานี่แหละ ต้องเล่าให้ฟังก่อน ที่ ม.กรุงเทพเนี่ย เป็นมหาวิทยาลัยที่จะใช้ Creativity หรือความคิดสร้างสรรค์ เป็นแกนกลางแล้วนำไปผสานกับเทรนด์อื่นๆของโลก เพื่อสร้างเป็นหลักสูตร …

7 comments

  1. บรรยายละเอียดเมพ เหมือนไปนั่งที่แคลิฟอร์เนียเองเลยครับ

    ป.ล. จะเอา iPod Touch 32GB !!

  2. บรรยายละเอียดเมพ เหมือนไปนั่งที่แคลิฟอร์เนียเองเลยครับ

    ป.ล. จะเอา iPod Touch 32GB !!

  3. อยากได้เหมือนกัน

  4. คนจร

    จากรูป

    8GB – $299
    32GB – $299
    64GB – $399

    ทำไม 8GB มันตั้ง $299 อะ

  5. รีวิวงานได้ละเอียดครบถ้วนดีจังคับ

    เห็นแล้วอยากได้ iPod Touch บ้างซะแล้วสิ

  6. ขอบคุณมากๆ ครับ ละเอียดถึงใจจริงๆ ^ ^

Leave a Reply