Home -> Review -> รีวิว ROBOROCK S7 หุ่นยนต์ดูดพร้อมถูที่ไม่ต้องเรื่องเยอะ

รีวิว ROBOROCK S7 หุ่นยนต์ดูดพร้อมถูที่ไม่ต้องเรื่องเยอะ

การพูดถึงหุ่นยนต์ทำความสะอาดในยุคปี 2021 เนี่ย ผมว่าไม่ต้องไปเล่าเหตุผลแล้วครับ ว่าต้องมีไปทำไม เพราะบรรดาหุ่นยนต์ทำความสะอาดมากมายหลายยี่ห้อบนโลก ได้ทำการพิสูจน์ตัวเอง ต่อเหล่าพ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายแล้วว่า พวกมันสามารถช่วยทำความสะอาดบ้าน และลดภาระของเจ้าของบ้านได้จริงๆ

TL;DR (ยาวไปไม่อ่าน)

  • Roborock S7 เป็นหุ่นยนต์ทำความสะอาดรุ่นล่าสุดประจำปี 2021 จาก Roborock
  • ดูดฝุ่นด้วยแรงดูดสูงถึง 2500 Pa แล้ว แถมสามารถถูพื้นได้ด้วย
  • ถูพื้นไม่ใช่แค่ลากผ้าไปกับพื้น แต่มีระบบ “ขัด” ที่สามารถกดพื้นด้วยน้ำหนัก 600 กรัมด้วยความเร็ว 3000 ครั้งต่อนาที
  • Filter กรองฝุ่นแบบ HEPA E11 ที่ล้างน้ำแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้
  • มี App สั่งงาน ตั้งเวลา กำหนดพื้นที่ กำหนดโซนเป็นห้องได้
  • ราคาหน้าเว็บแบบยังไม่โปรคือ 39,900 บาท และตอนนี้ทำโปรอยู่ที่ 22,900 บาท

ผมเองก็ใช้หุ่นยนต์ทำความสะอาดมาตั้งแต่ปี 2013 นับมาได้ 7 ปี ผ่านหุ่นมาประมาณ 5 ตัวด้วยกัน

ยังจำได้เลยว่าวันแรกที่ซื้อเจ้าหุ่นนี่มา ก็ยังกังขาว่า มันจะใช้ได้จริงหรอวะ แต่พอคืนแรกผ่านพ้นไป แทบจะกราบขอโทษที่ไปสบประมาทโดยไม่ได้ดูฝีมือกันก่อน

และก็นั่นแหละครับ ตอนนี้ผู้ผลิตหุ่นยนต์ทำความสะอาดมีมากมายแล้ว แต่ยี่ห้อนึงที่เปิดตัวมาตั้งแต่ปี 2016 และโดดเด่นมากในแง่ของเทคโนโลยีที่ใส่มาในหุ่นเยอะมากจนผมต้องนับถือนั่นก็คือ Roborock ครับ

ที่บ้านผมมี Roborock ทั้งหมด 2 ตัวด้วยกัน นั่นก็คือ รุ่น S6 MaxV และล่าสุดก็คือ เจ้า Roborock S7 นี่พึ่งออกมาใหม่นี่แหละครับ เชื่อว่าตอนนี้รีวิวน่าจะออกมาเยอะเลยทีเดียว เพราะสาย Tech Blogger ตื่นเต้นกันมาก

อย่างแรกก่อน ก็ต้องบอกว่า หุ่นยนต์ทำความสะอาดเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่แค่ดูดฝุ่นอีกต่อไป แต่เพิ่ม การถูพิ้นเข้ามาด้วย เพื่อทำให้พื้นสะอาดมากขึ้นนั่นแหละครับ

เพราะเรื่องการดูดฝุ่น ต่อให้เราดูดดีแค่ไหน แต่สัมผัสที่ฝ่าเท้าเรามันก็จะรับรู้ได้ว่า แหม่มันก็ยังมีสากๆเท้านะ อยากได้แบบเนียนๆ ที่ไม่มีไม่สากเท้า ยังไงก็ต้องถูนั่นแหละ

รีวิวนี้ จะมีการอ้างอิงกับ Roborock S6 MaxV ด้วยนะครับ เพราะผมเองก็ใช้รุ่นนี้อยู่ด้วยเหมือนกัน

ในกล่องให้อะไรมาบ้าง?

  • ตัวหุ่นยนต์ทำความสะอาดรุ่น Roborock S7
  • Filter แบบ HEPA E11 ที่สามารถล้างทำความสะอาดแล้วนำกลับมาใช้ซ้ำได้
  • แผ่นผ้าถูพื้นแบบ Microfiber
  • แท่นชาร์จไฟ 20VDC 1.2A
  • สายไฟ
  • คู่มือ

ก็เรียกว่าเรียบง่าย ไม่มีอะไรเยิ่นเย้อ ให้ของมาพอดีใช้ (แต่ใจจริง อยากจะให้แถม Filter กับผ้าอีกซักผืนก็ดีนะ เวลาเอาผ้าไปซักหรือ Filter ไปล้าง ระหว่างนั้นจะได้มีของสำรองใช้)

ตัวหุ่นทำความสะอาด เป็นแบบทรงกลม เพื่อการเลี้ยวเข้าไปทำความสะอาดตามจุดต่างๆ ตรงฐานกลมๆเล็กๆด้านบนเป็นระบบตรวจจับสถาวะรอบทิศทางแบบ Lidar ที่ใช้กันในพวกรถยนต์อัตโนมัติ ซึ่งของ Roborock จะมีชื่อเท่ๆของตัวเองว่า PreciSense Lidar โดยที่จะทำงานควบคู่กับระบบ AI ในเครื่องเพื่อช่วยในการเคลื่อนที่ด้วย

ด้านท้ายของตัวเครื่องเป็นถังเก็บน้ำ สำหรับใช้ตอนถูพื้น ซึ่ง ถ้าเทียบกับ S6 MaxV แล้ว ผมชอบระบบของ S7 มากๆ เพราะว่า ถ้าเราจะ “ถูพื้น” ด้วยใน S6 MaxV เราจำเป็นที่จะต้องเอาถังน้ำที่เติมน้ำแล้ว และ ผ้าถูพื้นมาใส่กับตัวหุ่นแล้วปล่อยออกไป แต่สำหรับ S7 เนี่ย มันมีระบบ Auto-Lifting Mob ซึ่งถ้าเราไม่อยากให้ถู หรือ น้ำในถังหมด มันจะยกผ้าถูพื้นขึ้นจากพื้่นโดยอัตโนมัติ

ระบบ Auto-Lifting ยังมาแก้ไขอีกปัญหาก็คือ พรม!!

พวกหุ่นยนต์ทำความสะอาดรุ่นเก่าๆ ส่วนใหญ่จะเจอปัญหาเวลาเจอกับพรมเช็ดเท้าครับ นั่นก็คือ มันจะลากพรมไปด้วย เช่นพวกพรมเช็ดเท้าขนยาวๆ เพราะขนมันเข้าไปติดในลูกกลิ้งบ้าง หรือ โดนล้อบดพรมเข้าไปบ้าง

แน่นอน ปัญหาเรื่องพรม ก็เกิดขึ้นใน S6 MaxV เวลาที่คุณใส่ผ้าถูพื้นเช่นเดียวกันครับ เพราะผ้าถูพื้นมันจะลากพรมไปด้วย แต่ใน S7 ปัญหานี้จะหมดไป เพราะการทำงานสองระบบด้วยกัน

อย่างแรกก็คือเจ้า Auto-Lifting Mob ที่ผมเล่าไปตะกี๊

อย่างที่สองก็คือ Ultrasonic Sensor ที่สามารถตรวจจับพรมได้อย่างแม่นยำ พอมันรู้ว่าเป็นพรม มันก็สามารถตัดสินใจแยกย่อยออกไปได้อีกว่าจะให้ทำยังไง

  1. Rise (ยกผ้าถูพื้นขึ้น เพื่อป้องกันการลากผ้าถูพื้นไปบนพรม แล้วก็ปีนพรมขึ้นไปดูดทำความสะอาดต่อไป)
  2. Avoid (หลีกเลี่ยง การขึ้นพรม ก็ให้หลบไปเลย ผมใช้โหมดนี้อยู่ครับ เพราะที่บ้านปูแผ่นฉี่หมาเอาไว้ แล้วพวกหุ่นยนต์รุ่นเก่าๆมันบดจนแผ่นผังหมดเลย)
  3. Ignore (ก็ไม่สนใจ ทำความสะอาดแบบปกติ)

ซึ่งถ้าเราเลือก Rise หรือ Ignore เนี่ย เราสามารถเพิ่มพลังการดูด ด้วยความสามารถ Carpet Boost ได้ด้วยครับ เจ้า Roborock S7 ก็จะเพิ่มแรงดูดให้เต็มที่ เพื่อดุดฝุ่นและสิ่งสกปรกจากพรมออกมาครับ ฉลาดมาก!!

ตัว Dustbin หรือกล่องเก็บฝุ่น สามารถแกะออกมาทิ้งได้ง่าย แค่ยกฝาหลังตัวเครื่องแล้วก็หยิบขึ้นมาได้เลย ตัว Dustbin มีขนาดความจุ 470 มิลลิลิตร มาพร้อม HEPA Filter แบบ E11 ที่สามารถล้างน้ำ ทำความสะอาดกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ข้อควรระวังก็คือ ควรตาก Filter ให้แห้งก่อนที่จะนำกลับมาใช้ใหม่ เพราะว่า Filter เปียกน้ำ จะลดประสิทธิภาพของมอเตอร์ดูดฝุ่นมากๆ

ถังน้ำ ขนาดความจุ 300 มิลลิลิตร สามารถเติมน้ำได้ง่ายกว่ารุ่น S6 MaxV เพราะว่า เปิดฝาแล้วเติมน้ำได้ตรงๆ ก็เต็มถัง ในขณะที่ S6 MaxV จะต้องเอียงถังบางมุมเพื่อให้น้ำไหลไปให้เต็มถัง แต่รุ่น S6 MaxV ก็มีขนาดถังที่ใหญ่กว่านะครับ ไม่ต้องเติมบ่อยเท่า S7

และสำหรับน้ำที่จะเอามาใช้ถูพื้นเนี่ย ตัว Roborock S7 มีระบบSnapMop™ Electric Water Pump ที่ จะทำให้น้ำไหลลงไปบนผ้าอย่างต่อเนื่อง และควบคุมการไหลของน้ำได้ด้วย

พูดง่ายๆ ถ้าอยากถูแบบน้ำเยอะๆหน่อย ก็สามารถปรับได้สูงสุดที่ระดับ 4 ได้เลย น้ำจะไหลเยอะเป็นพิเศษให้ผ้าถูได้เนียนขึ้น แต่ถ้ารู้สึกว่าไม่ต้องใช้น้ำเยอะ ก็ปรับเป็นระดับ 2 หยอดน้ำน้อยๆก็พอครับ

แกนปั่นสำหรับกวาดฝุ่นเข้าไปของ Roborock S7 เป็นแกนปั่นที่ออกแบบมาใหม่สำหรับ Roborock S7 โดยเฉพาะ ทำให้ตัวแกนปั่นแนบชิด เรียบติดไปกับพื้นและสามารถปั่นด้วยความเร็ว 1,650 รอบต่อนาที ข้อดีของแปรงตัวนี้ จะเห็นได้ว่า ตัวแกนยางมันเป็นเกลียวเดียวกันตลอดทั้งอัน ทำให้ลดโอกาสที่เส้นผมจะไปติดกับแกนปั่น เพราะเชื่อได้เลยว่า เป็นความน่ารำคาญอย่างนึงเวลาคุณแกะหุ่นไปทำความสะอาดเลยล่ะ แถมแกะปั่นย่างอันนี้ ก็สามารถแกะไปล้างได้เช่นเดียวกันครับ

ส่วนการดูดฝุ่นเนี่ย ตัว Roborock S7 สามารถปรับแรงดูดได้ 4 ระดับ จากแรงสุดที่ 2,500 Pa ไปจนถึงเบาสุด ซึ่งตอนโหมดเบาสุด จะเงียบมาก เพราะว่า เสียงดังแค่ 67 Decibel เท่านั้นเองครับ เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในคอนโด ต้องเกรงใจเพื่อนบ้าน หรือ ให้หุ่นไปดูดตอนเราหลับแล้วก็ได้ครับ (ดูดได้ แต่เราทนได้หรือเปล่ามันคนละเรื่องกันนะ 555)

ปุ่มสั่งงานบนตัวเครื่อง มี 3 ปุ่มด้วยกันครับ เรียงจากซ้ายไปขวาตามรูปก็คือ

  1. ปุ่มกลับ Dock
  2. ปุ่ม เริ่ม/หยุด ทำความสะอาด
  3. ปุ่ม Spot Cleaning เอาไว้ทำความสะอาดพื้นที่ ตรงที่วางหุ่นไว้ เช่น คุณทำอะไรหกนิดหน่อย แต่ขี้เกียจกวาด ก็หยิบหุ่นมาวางแล้วสั่ง Spot Clean ได้เลย

นอกจากนั้นปุ่ม Spot Clean ยังเป็นปุ่ม Child Lock ได้ด้วย คือให้กดค้างเอาไว้ เพื่อเปิด Mode Child Lock

พอเราเปิดโหมดนี้แล้ว จะไม่สามารถมาสั่งหุ่นด้วยการกดปุ่มบนตัวเครื่องได้ จะต้องสั่งงานผ่าน App เท่านั้นครับ

ไฟแสดงสถานะแบบ RGB เปลี่ยนสีได้เอง ถ้าไม่ชอบใจก็ปิดได้ครับ นี่ผมรอให้มัน Firmware Update อยู่ว่าจะให้เรา Control แสงสีได้เองไหม แหม่ ถ้าได้ล่ะแจ่มเลย

แท่นชาร์จแบบ 20VDC 1.2A ซึ่งการติดตั้งแท่นชาร์จก็แนะนำว่า ให้หาสถานที่แห้งๆ แล้วก็หุ่นสามารถเข้าออกได้ง่าย โดยที่ไม่มีอุปสรรคหรือติดอะไรนะครับ

จะว่าไปแล้ว ถ้าไม่ต้องการอะไรซับซ้อน คุณก็แค่ซื้อเจ้า Roborock S7 มาตั้ง เสียบแท่นชาร์จ ตั้งเวลาทำความสะอาดซัดวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น แล้วก็กะเวลาว่า ทิ้งฝุ่น + ทำความสะอาดซักอาทิตย์ล่ะครั้ง แค่นี้ก็ถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับคนที่ไม่ต้องการอะไรยุ่งยาก

แต่สำหรับคนที่ต้องการ Customize เต็มรูปแบบ เจ้า Roborock S7 เองก็มีการปรับแต่งที่ละเอียดมากๆใน App ให้เหมือนกันครับ

ความสามารถเพิ่มเติมบน App

เมื่อคุณปล่อยหุ่นออกไปครั้งแรก มันจะใช้ Lidar ทำการสแกนพื้นที่เพื่อดูสภาพแวดล้อมโดยรวมว่าห้องคุณหน้าตาเป็นยังไงบ้าง การปล่อยหุ่นออกไป ทำความสะอาดหนึ่งครั้ง มันจะแสดงให้เห็นด้วยว่า พื้นที่ทำความสะอาด มีกี่ ตรม. และมันใช้เวลาเท่าไหร่ในการทำความสะอาดหนึ่งรอบ

อย่างของผมพื้นที่ชั้น 1 ของบ้านประกอบไปด้วย ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องทำงาน แล้วก็โถงบันได พื้นที่ขนาด 16 ตรม. ใช้เวลาทำงาน 17 นาทีแบบ Standard Mode (มีแบบ Deep Mode ด้วย)

ซึ่งเมื่อเราได้ห้องมาจากการสแกนระบบผ่าน Lidar แล้ว มันจะกั้นห้องมาในคร่าวๆเลยว่า คุณมีพื้นที่ ที่เป็นห้องกี่ห้อง (อันนี้มันน่าจะประเมินผ่านการวิ่งผ่านประตู) เลยทำให้มันสามารถเห็นสภาพของห้องคร่าวๆได้ แต่ถ้าคุณรู้สึกว่ามันแบ่งไม่ถูก ก็สามารถใส่ตัวกั้น Divide ในห้องได้ครับ เพื่อกำหนดห้องของคุณแบบจริงๆเองได้

นอกจากนั้น ถ้าคุณมี Roborock หลายๆตัว คุณสามารถกำหนดได้ด้วยนะครับ ว่ามันอยู่ชั้นไหน เวลาสั่งงานทำความสะอาดโดยอ้างอิงตำแหน่งห้อง มันก็จะเอาหุ่นที่ประจำชั้นนั้นไปวิ่งทำความสะอาดให้นั่นเองครับ

แล้วก็การตั้งชื่อห้อง ก็จะทำให้เราสามารถสั่ง Roborock S7 ให้วิ่งไปทำความสะอาด แค่เฉพาะห้องนั้นๆได้นั่นเองครับ

ทีนี้ ในแต่ละห้อง คุณสามารถทำ Profile การทำความสะอาดได้ด้วย เช่นห้องนี้ ขอดูดแรงๆ วิ่งแบบ Deep อีกห้องนึง ขอเงียบๆ เพราะมีคนป่วยในห้อง แล้ววิ่งแบบ Standard ก็พอ อะไรแบบนี้ก็ได้ครับ

เวลาที่คุณปล่อยหุ่นออกวิ่งไปทุกครั้งมันจะมี Log ในระบบด้วยว่า วิ่งไปกี่โมง ใครเป็นคนสั่งวิ่ง แล้วสั่งผ่านอะไร เช่น App หรือ ผ่านการกดปุ่มบนตัวเครื่อง ซึ่งถ้าครั้งไหน ทำความสะอาดไม่สำเร็จมันก็จะแจ้งให้ทราบด้วยครับ

ที่ผมชอบอีกเรื่องก็คือ สามารถเปลี่ยนเสียงรับคำสั่งเป็นภาษาไทยได้ ซึ่งภาษาไทยก็ไม่ได้แย่นะครับ พูดเสียงดังฟังชัด รู้เรื่องเลย ไม่ใช่เหน่อเหมือนเอาโปรแกรมจำลองเสียงมาพูด

ที่ชอบมากอีกเรื่องในส่วนของการ Notification ก็คือ การแจ้งเตือนเกี่ยวกับ พวกอุปกรณ์สิ้นเปลือง เช่น Filter , ถัง , ความสะอาดของ Sensor ว่าเหลือคุณภาพการใช้งานอยู่อีกเท่าไหร่ครับ เท่าที่ดูคือ ใช้ต่อเนื่องได้นานมาก ยกเว้นพวก Sensor ใต้ท้องเครื่องที่ต้องเอามาเช็ดทำความสะอาดบ่อยหน่อย

บางทีถ้าคุณขี้เกียจจัดๆ คุณอยากจะให้หุ่นไปทำความสะอาดตรงจุดที่คุณต้องการแล้วมันวิ่งไปไม่ถึงซะที คุณก็สามารถเปิดโหมด ควบคุมเครื่องแล้วก็ บังคับให้วิ่งไปแบบรถบังคับได้เลยครับ

ซึ่งตรงนี้ผมชอบของ S6 MaxV มากกว่านะ เพราะว่า S6MaxV มันมีกล้องหน้ามาให้ด้วย ในการวิเคราะห์วัตถุที่อยู่ตรงหน้ามัน และตอนเราบังคับเจ้า S6 เราก็เปิดกล้องหน้าเพื่อควบคุมเครื่องให้วิ่งแล้วก็มองกล้องไปเรื่อยๆก็ได้ครับ เหมือนขับโดรนเลยเท่ดี

เทียบกับ S6 MaxV แล้วเป็นไง

อย่างที่ผมเกริ่นไว้ว่า ผมมี Roborock S6 MaxV อีกตัว ที่ใช้เป็นประจำอยู่แล้วก็จะขอเทียบกันหน่อย ว่า ทั้งคู่มันต่างกันยังไงบ้าง

ในเรื่องของการปล่อยหุ่นออกอัตโนมัติแล้วอุ่นใจเนี่ย ผมไว้ใจ S6 MaxV มากกว่า แต่สาเหตุก็เพราะว่า ผมมีหมาที่บ้าน 3 ตัว และผมเลี้ยงแบบ Indoor การขับถ่ายของเจ้าพวก 3 ตัวนั้นก็จะมีโซนของมันอยู่ ซึ่งผมสามารถใช้ No Mob Zone ใน App กำหนดพื้นที่ว่า ไม่ต้องเข้าไปทำความสะอาดโซนนี้ก็ได้ แต่เจ้าพวกหมาของผมมันก็รั่ว ชอบไปอึที่อื่นก็มี และ สำหรับคนที่มี หุ่นยนต์ทำความสะอาดกับสัตว์เลี้ยง น่าจะเคยเจอนรกของหุ่นไถขี้กันบ้าง และ มันไม่สนุกเอาซะเลย

ดังนั้น S6 MaxV มันมีกล้อง AI วิเคราะห์วัตถุ ซึ่งมันวิเคราะห์ขี้หมาได้ด้วยครับ และผมก็ทดสอบแล้วว่ามันหลบได้จริง

การเดินกลับบ้านหลังทำความสะอาดเสร็จเนี่ย เจ้า S6 MaxV ก็เร็วกว่ามาก เพราะมันมีกล้อง + Lidar เนี่ยแหละ การวิ่งไปจุดต่างๆของบ้านทำได้รวดเร็วดีเลยล่ะ

แต่ในเชิงความสะอาดและความสะดวกในการนำไปใช้ในบ้านทั่วๆไป ผมเชียร์ Roborock S7 มากกว่า

สาเหตุก็เพราะว่า ระบบผ้าถูและถังน้ำของ Roborock S7 มันทำงานผสานกันได้เนียนกว่า ไม่มีอาการตายคาพรม หรือลากพรมเช็ดเท้าตามไปด้วย เพราะมันสามารถยกตัวผ้าถูหลบได้สบายๆเลย

แถมระบบ HyperForce ที่ทำแรงดูด 2,500 Pa + แกนปั่นแบบพิเศษที่หมุน 1,650 รอบ + ระบบถูกพื้นด้วยความถี่ 3,000 ครั้งต่อนาที + Carpet Boost นี่ทำให้ผมรู้เลยว่า พื้นบ้านผมสะอาดเนียนกว่าเยอะมากๆครับ เวลาเดินบนพื้นเนี่ย มันจะลื่นเท้ามาก เพราะมันไม่มีฝุ่นมาระคายผิวเท้าเลย

ถ้าคุณไม่มีสัตว์เลี้ยง ผมแนะนำให้ขึ้น Roborock S7 ไปเลยครับ สะอาดกว่าแน่นอน

แต่ถ้าคุณมีสัตว์เลี้ยง และยังเสียวว่ามันจะทิ้งระเบิดเปลี่ยนห้องคุณจากสวรรค์เป็นนรก ผมก็แนะนำให้ใช้ Roborock S6 MaxV ดีกว่าครับ ปลอดภัย อุ่นใจได้แน่นอน แต่เวลาจะถูต้องมานั่ง ใส่ผ้า กับถังน้ำทุกครั้งเอาเองเท่านั้นเอง

สำหรับ Roborock S7 เนี่ย บ้านผมขนาด 16 ตรม ทำความสะอาด เช้า + เย็น ด้วยโหมดดูดแรงสุด และฉีดน้ำแบบ Intense และหลบพรมเช็ดเท้า ใส่น้ำในถังน้ำเต็ม ก็สามารถใช้งานได้ 4 วันต่อเนื่อง น้ำถึงหมดถังพอดีครับ

แล้วก็เอามาให้ดูว่า สภาพของการถูบ้านที่มีพื้นเป็นกระเบื้อง และมีหมาสามตัวในบ้านเป็นเวลา 4 วัน ตัวผ้าจะสกปรกขนาดไหนครับ

ผมคิดว่า ในเชิงเทคโนโลยี Roborock S7 น่าจะเป็นหุ่นที่ใส่เทคโนโลยีเพื่อแก้ปัญหาของการทำความสะอาดจากหุ่นรุ่นก่อนหน้ามาได้ครบถ้วนเลยทีเดียว เป็นหุ่นที่ซื้อแล้วไม่ผิดหวังแน่นอนครับ

สนใจดูรายละเอียด Roborock S7 เพิ่มเติม

Check Also

รีวิว Auto-Empty Dock ของที่ต้องมีถ้ามีคุณ Roborock s7

ไม่ต้องเกริ่นเยอะ สำหรับคนที่ใช้งานหุ่นยนต์ทำความสะอาด ถึงแม้ว่ามันจะสะดวกสบายก็เถอะ แต่มันก็ยังเหลือ ภาระนิดๆ ให้คุณต้องมาจัดการบ่อยๆ นั่นก็คือ ต้องเอาฝุ่นใน Dustbin มันมาทิ้ง!! Facebook iconFacebookTwitter iconTwitterLINE iconLine

Leave a Reply