Home -> Review -> รีวิว ACER Swift3 .. โน๊ตบุ๊คที่ทำให้ผมทิ้ง Macbook Pro ไว้ที่บ้าน

รีวิว ACER Swift3 .. โน๊ตบุ๊คที่ทำให้ผมทิ้ง Macbook Pro ไว้ที่บ้าน

เกริ่นหัวซะเว่อเลย .. ก็แน่สิครับ สอยตัวใหม่มาแล้วจะให้แบก Notebook ออกไปสองเครื่องทำไมก๊านนน ฮ่าๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประสิทธิภาพของมันก็ดีจริงและดีพอที่จะทำให้ผมทิ้ง Macbook Pro ไว้ที่บ้าน แล้วแบกมันออกไปทำงานทั้ง งานด้าน Network และ งานเขียน นี่แหละครับ

Acer Swift เป็นซีรีส์ของ Ultrabook จาก Acer โดยที่มีรุ่น Swift 1 , 3 , 5 และ 7 .. ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด ทาง Acer ประเทศไทยเลือกรุ่น Swift 3 , 5 และ Swift 7 แค่สามรุ่นเข้ามาจำหน่ายในประเทศไทยเท่านั้นครับ โดยที่ Acer Swift 7 ครองแชมป์ของการเป็น Notebook ที่บางที่สุดในโลกอยู่ [ไปอ่านรีวิว Acer Swift7 ได้ที่นี่เลย]

อ้าว แล้วถ้าผมมี Swift 7 แล้ว ผมจะไปสอย Swift 3 มาอีกทำไม??? จะบ้าเรอะ นี่ไม่นับว่ามี Macbook Pro กองอยู่ที่บ้าน พร้อม Predator G7 กับ Acer VX5 อีกนะ

คำตอบก็คือ แต่ละเครื่องสำหรับผม นั้นมีจุดยืนในการทำงานที่ไม่เหมือนกันครับ

Acer Predator G7 เป็นเครื่องหลักในบ้านทั้งทำงาน ทั้งเป็น Server จำลอง เพราะข้างในมี Virtual Server รันไว้เพียบ แถมเอาไว้ทำพวก Facebook Live ที่บ้าน  ทำได้ทุกอย่างแต่หนักสัส แบกไปไหนไม่ได้ เพราะหลังแทบหัก

Acer VX5 เป็นเครื่องกำลังสูง หน้าจอ 15 นิ้ว ที่มีประสิทธิภาพรองลงมา เน้น ทำงานด้าน Performance แบบพกพา เช่นไปทำ Facebook Live นอกสถานที่ แบกไปเล่นเกมยิง OverWatch ให้หัวร้อนเวลาไปบ้านเพื่อน

Acer Swift 7 เบา บางที่สุดในโลก แต่กลับกัน Port ในการใช้งาน ช่างน้อยมาก จะเอาไปทำงานก็ต้องพกเอา USB-C Adapter อันเขื่องไปด้วย แถมเวลาไปทำงานด้าน Network หัว LAN Adapter ที่เป็น USB-C มันหลุดง่ายมาก ผมเลยลำบากระดับนึงเวลาต้องยก Swift 7 ไปยืนทำงานหน้าตู้ Network

Macbook Pro เป็นอะไรที่กลางๆที่สุด ทำงาน Network ได้ ทำ Facebook Live ได้ Keyboard สำหรับงานเขียนดี แต่ Performace กลับอืดอาด และ เกมช่างห่วยแตก แถมงาน Network ของผมบางตัวเช่นระบบกล้องวงจรปิด ตัว Plugin ดันทำงานบน MacOS ไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องแบกเครื่องที่เป็น Windows ออกไปอยู่ดี

สรุปก็คือ ถึงแม้ผมจะมีเครื่องมากมาย แต่ผมกลับขาดอยู่เครื่องนึง นั่นก็คือ เครื่องที่เบาพอจะแบกไปกับสังขารของผมได้ เครื่องที่มี Port ในการทำงานมากพอที่จะใช้งานได้อย่างสะดวก เครื่องที่หน้าจอละเอียดและสวยพอจะทดแทนเครื่อง Mac และเหนือสิ่งอื่นใด Performance ต้องไม่น่าเกลียดและชักช้า จนทำให้ทำงานไม่ได้

มันเลยมาตกที่เจ้า Swift 3 นี่แหละครับ

หลายคนที่อ่านประโยคข้างบนมา ก็คงจะรู้สึกว่าผมแม่งโคตรน่าหมั่นไส้ชิปหาย เครื่องเมิงเยอะแยะ ยังจะเอาอะไรอีกฟระ แต่อยากให้มองว่า อุปกรณ์เหล่านี้คือเครื่องมือในการทำมาหาเลี้ยงชีพของผม ที่ถ้างานสะดุดนิดๆหน่อยๆ มันเกิดความเสียหายมากกว่านั่นแหละครับ

เอาล่ะ พล่ามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องมาซะเยอะแยะ มาเข้าเรื่อง Acer Swift 3 กันเลยดีกว่า เจ้า Swift 3 ตัวนี้เป็น Ultrabook ราคาเริ่มต้น คือประมาณ 22,900 เท่านั้นเอง แต่อัด Spec ดีๆมาเพียบจนผมตกใจ และอัพเกรดจาก Swift 3 รุ่นก่อน ที่ออกเมื่อปีที่แล้ว จนผมร้องโอ้โหว ไปหลายรอบมากตอนหยิบมันมาใช้งานและรีวิว

อย่างที่บอกว่าหน้าจอมันสวยงามน่าพอใจมาก Swift 3 เป็น Ultrabook ขนาดหน้าจอ 14 นิ้ว ที่ใช้หน้าจอ IPS ทำให้สีในการแสดงผล แถมหุ้มด้วยกระจกกอริลล่ากลาสอีกที เพื่อความแข็งแรง ผมว่าค่อนขัางโอเคมากๆ ถึงแม้จะไม่เท่า Retina Display ของ Macbook แต่ก็มองแล้วสบายตาไม่น่าเกลียดแต่อย่างใด และดีกว่า Notebook ที่เป็นจอภาพแบบ TN Panel ของหลายๆยี่ห้อมากๆ

ตัว Keyboard เป็น Full Sized Keyboard แบบ 6 แถว โดยรวบเอาปุ่มลูกศรขึ้นลง ไปอยู่แถวเดีียวกับพวก Home / End / Page Up / Page Down ครับ ตัว Keyboard มีไฟ LED ปรับความสว่างได้้ทั้งหมด 3 ระดับ แต่ละปุ่มถูกออกแบบมาให้ห่างกันจนทำให้พิมพ์ค่อนข้างคล่องและไม่ไปเกี่ยวปุ่มตัวอื่นมาเวลาเรากดผิด เป็นหนึ่งใน Keyboard ที่ผมพิมพ์แล้วชอบมากอันนึงเลยล่ะครับ

ตัว Trackpad เป็น Multi-touch Trackpad ที่รองรับได้สูงสุด 5 นิ้ว ขนาดใหญ่ประมาณ 5 นิ้วเหมือนกัน เป็น Trackpad ที่รองรับตามมาตรฐาน Windows 10 ก็คือ ปรับแต่ง เรื่องของ ปุ่มในการกดได้หลายแบบ

บางคนชอบคลิกขวาด้วยการกด 2 นิ้วก็ทำได้ บางคนชอบคลิกขวาตรงโซนขวาล่างก็ทำได้

หรือ

บางคนอยากกดคลิกซ้ายด้วยการแตะเบาๆก็ได้ หรือจะให้กดจมลงไปเลยก็ได้

โดยส่วนตัวผมชอบ คลิกซ้ายด้วยการกดให้จมลงไป และ คลิกขวาด้วยการแตะสองนิ้ว ซึ่งวิธีนี้มันเป็นรูปแบบการใช้ Trackpad แบบเดียวกับบน Mac ซึ่งผมคุ้นชิ่นมากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมชอบมากบน Swift 3 เช่นกัน ตรงที่ผมไม่ต้องเปลี่ยน Mindset ในการควบคุม Trackpad ใหม่

แต่อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำ ความเร็ว ความลื่นไหลของ Trackpad บน Swift 3 นั้นก็ยังไม่เท่าของ Macbook Pro อยู่ดีนะครับ ผมเรียกว่าใกล้เคียงประมาณ 85% ละกัน

อีกส่วนหนึ่งที่ผมชอบมากบน Swift 3 ก็คือตัว Fingerprint Scanner ครับ ผมเคยใช้ Fingerprint Scanner บนเครื่อง Thinkpad มาก่อน ซึ่ง Fingerprint Scanner บนรุ่นเก่าๆนั้นจะเป็นแบบรูด แถมไม่ค่อยแม่นยำด้วย บางทีรูดซัก 2 ครั้งไม่ผ่าน ผมก็พิมพ์ Password แทนแล้ว แต่ Fingerprint Scanner บน Swift 3 เป็นแบบใหม่ที่ไม่ต้องรูด แต่ใช้แตะเอาเหมือนกับของพวก Smartphone สมัยใหม่ครับ นอกจากนั้นยังรองรับการใช้งาน Windows Hello ของ Microsoft ด้วย ความแม่นยำค่อนข้างดีมาก แค่แตะลงไปก็ Login เข้าเครื่องได้เลย ทำให้เร็วมากๆ ผมนี่อยากจะให้มี Fingerprint Scanner ซัก 2 อัน ด้านซ้าย กับ ด้านขวานะ มือไหนว่างจะได้จิ้มลงไปได้เลย ฮ่าๆ แต่โดยรวมผมถือว่า ความสะดวกของมันนี่ขั้นดีเลิศเลยล่ะครับ

อย่างที่บอกไปว่าเครื่องนี้มี Port ให้ใช้งานเยอะมากๆ เมื่อเทียบกับ Swift 7 … (แต่น้ำหนักก็ต่างกันฟ้ากับเหวเลยนะครับ) สำหรับด้านซ้ายของตัวเครื่องก็จะเป็นช่องชาร์จไฟ / HDMI / USB-C แล้วก็ USB 3.1 อีก 2 ช่อง โดยที่ช่องนึงนั้นรองรับการชาร์จไฟออกให้กับอุปกรณ์ต่างๆ ถึงแม้ว่าคุณไม่ได้เปิดเครื่องอีกด้วย ปิดท้ายด้วย ช่องเสียบ หูฟัง / ไมโครโฟน แบบ 3.5 มม

ด้านขวา มีช่องเสียบ SDCard / ช่อง USB 2.0 เอาไว้เสียบกับ Mouse โดยเฉพาะ / ไฟแสดงสถานะการทำงาน / ไฟบอกสถานะการชาร์จแบตเตอรี่ แล้วก็ช่องล็อคแบบ Kensington Lock ครับ

ใต้เครื่อง มีช่องพัดลมระบายอากาศขนาดใหญ่แล้วก็ ยางรองใต้เครื่องที่หนาประมาณ 1 มม. สำหรับ ด้านที่ใกล้ Keyboard แล้วก็ อีกด้านหนาประมาณ 2.5 มม.สำหรับด้านจอภาพ ซึ่งเวลากางออกมา ตัวเครื่องจะยกตูดนิดๆเพื่อให้ได้องศาในการพิมพ์ที่สบายมือมากขึ้น

ลำโพงใต้เครื่อง ตัวเล็กๆแบบนี้ แต่ดังมากนะครับ ดังจนตกใจเลยว่าเฮ้ยย นี่ใส่ลำโพงตัวไหนมาเนี่ย ทำไมดังขนาดนี้ ลำโพงนี้จะอยู่ด้านล่างข้างๆยางกันกระแทก โดยจะหันลงพื้นเพื่อให้สะท้อนโต๊ะแล้วขึ้นมาให้เราได้ยินครับ

ส่วนที่หนาที่สุดของเครื่องก็ประมาณ 1.5 เซนติเมตร เรียกได้ว่าไม่หนาเท่าไหร่ น้ำหนักก็ประมาณ 1.5 กิโลกรัม

สำหรับ Spec ของ Swift 3 ตัวนี้ ก็คือ Core i5-7200 ความเร็ว 2.5Ghz กับ แรม 8GB พร้อมกับ การ์ดจอ Intel 620 และ  SSD ขนาด 256GB แบบ NVMe ด้วยครับ

และการที่ทาง Acer เลือกใช้ SSD แบบ NVMe ของ Intel ทำให้พลังในการทำงานเร็วขึ้นมาก เพราะมันอ่านไฟล์ได้เร็วโคตรๆครับ เร็ว 1,373.95 MB ต่อวินาทีเลยนะครับ

ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ เป็นแบบ 4 Cell ที่ทาง Acer เคลมว่าใช้งานได้ต่อเรื่อง 10 ชั่วโมง ซึ่งเอาจริงๆแล้ว ผมว่าก็ไม่ถึงหรอก ผมลองใช้เองก็ประมาณ 5-6 ชั่วโมงนะครับ ก็กำลังดี ไม่ได้ขี่เหร่เกินไปนัก และอีกเรื่องที่ผมชอบก็คือ การ์ด WIFI แบบ AC Wave 2 ครับ ตอนนี้ทาง Acer พยายามใช้การ์ดตัวนี้เป็นหลักใน Notebook ทุกเครื่องผลก็คือความเร็วในการเชื่อมต่อของคุณจะได้ Bandwidth สูงสุดถึง 866Mbps แถมยังได้เทคโนโลยี MU-MIMO ใน Wireless AC Wave 2 อีกด้วย พวก Notebook แพงๆหลายๆรุ่นยังไม่ให้การ์ดดีขนาดนี้มาเลย

ปิดท้ายความดีงามของ Swift 3 ครับ นั่นก็คือ Power Adapter ที่เล็กและเบามากๆ คือ เบาอย่างกะที่ชาร์จมือถือ ทำให้ผมสามารถพกที่ชาร์จติดกระเป๋าไปได้โดยที่ไม่ต้องคิดมากกับขนาดและน้ำหนักเลยครับ เพราะทุกทีที่เจอใน Ultrabook ที่บางมากๆก็คือ มันบางเพราะเอาภาคแปลงไฟ ไปใส่ใน Power Adapter แทน ผลก็คือ เครื่องเบาก็จริง แต่ Adapter หนักชิปเป๋ง

โดยรวม ผมชอบอะไรใน Swift 3 บ้าง

  • หน้าจอ Full HD แบบ IPS
  • Fingerprint Scanner แบบดีมาก
  • Trackpad ที่ตอบสนองได้แม่นเกือบจะเท่า Macbook ในระดับ 85%
  • SSD แบบ NVMe ที่แรงโคตร
  • Port พื้นฐานสำหรับการใช้้งานครบถ้วน
  • Power Adapter ที่เบามากๆ

แต่อย่างไรก็ตามมันก็มีเรื่องที่ไม่ชอบครับ และเรื่องที่ไม่ชอบเอามากๆก็อยู่บน Keyboard นี่แหละ

มันก็คือ ปุ่มลูกศรนี่แหละครับ การที่ Acer หดตัว Keyboard เหลือ 7 แถว แล้วรวบเอาลูกศร + Home / End ไปอยู่ด้วยกัน ทำให้ผมกด Cursor ได้ยากมาก เรียกได้ว่า ใช้แล้วขัดใจถึงขั้นสุดเลย เพราะกดผิดโคตรจะบ่อยยยยย

อ้อ ผมรีวิวแบบวีดีโอไว้ในรายการล้ำหน้าโชว์ด้วย กดดูวีดีโอก็ได้นะครับ แต่เป็นแค่ Short รีวิวนะครับ

แต่อย่างไรก็ตาม ปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่า มันเป็น Notebook ที่ครบเครื่อง ในราคาที่ถูกมาก 22,900 แต่อัดแน่นด้วย Spec ขนาดนี้ อ้อ แต่ราคานี้ไม่มี Windows Liccense มาด้วยนะครับ มันจะมีระบบปฏิบัติการ Endless OS ของ Linux ติดตั้งมาให้แทนครับ เอาเป็นว่า ใครที่กำลังมองหาเครื่อง Notebook สำหรับทำงานที่พกง่ายๆ แล้วจบทุกอย่างในตัวเดียว ผมเชียร์ Swift 3 สุดลิ่มทิมประตูเลยครับ

 

Check Also

รีวิว Auto-Empty Dock ของที่ต้องมีถ้ามีคุณ Roborock s7

ไม่ต้องเกริ่นเยอะ สำหรับคนที่ใช้งานหุ่นยนต์ทำความสะอาด ถึงแม้ว่ามันจะสะดวกสบายก็เถอะ แต่มันก็ยังเหลือ ภาระนิดๆ ให้คุณต้องมาจัดการบ่อยๆ นั่นก็คือ ต้องเอาฝุ่นใน Dustbin มันมาทิ้ง!! Facebook iconFacebookTwitter iconTwitterLINE iconLine

Leave a Reply