Home -> Review -> รีวิว True CCTV Gen 2 ขนาดเล็กลง แต่ฝีมือยังเท่าเดิม

รีวิว True CCTV Gen 2 ขนาดเล็กลง แต่ฝีมือยังเท่าเดิม

[Sponsored Review]

กล้องวงจรปิดกลายเป็นอุปกรณ์พื้นฐานในการวางระบบรักษาความปลอดภัยในหลายๆสถานที่ไปแล้วนะครับ จากที่เมื่อก่อน ระบบของกล้องวงจรปิดจะต้องมีความยุ่งยากของการเดินสาย การเลือก Spec และเกรดของกล้อง การทำยังไงก็ได้ให้ดูผ่านอินเทอร์เน็ตได้

แต่มายุค 2018 ที่อินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ราคาถูกกว่าข้าวราดแกง คลาวด์คอมพิวเตอร์ใช้งานง่ายเหมือนเตาไมโครเวฟ ระบบไร้สายคุณภาพดีขึ้นจนพึ่งพาได้

เลยทำให้กล้องวงจรปิดแบบ IP Camera เก่งขึ้น และ ราคาถูกลงจน จนการจะซื้อมาใช้เองซักตัว ไม่ใช่เรื่องที่ตัดสินใจยากอีกต่อไปแล้วล่ะครับ

เมื่อประมาณ 2 ปีก่อน ผมได้มีโอกาสรีวิวกล้องวงจรปิดแบบ IP Camera ของทรูรุ่นแรก โดยที่ทรูชูจุดเด่นที่ว่า เป็นกล้องตัวแรกในรองรับ 4G ในการใช้งาน อยู่ที่ไหน ขอแค่มี 4G ก็สามารถดูกล้องได้ https://www.freeware.in.th/review/24244

รอบนี้ทางทรูติดต่อมาอีกรอบ บอกว่ากล้องรุ่นสองออกแล้ว โดยส่วนตัวผมค่อนข้างโอเคกับกล้องรุ่นแรกนะ เลยอยากจะรู้ว่ารุ่นที่สองมันพัฒนาเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เลยลองเอามารีวิวน่านแหละครับ

แกะกล่องออกมาก็มีของในกล่องประมาณนี้ คู่มือสองภาษาข้างในค่อนข้างอธิบายละเอียด เพราะว่าการเซ็ตระบบกล้องวงจรปิดสำหรับมือใหม่เนี่ย ต่อให้เดี๋ยวนี้ง่ายขึ้นขนาดไหน ก็มีคนที่พร้อมจะไม่เข้าใจเสมอ

ที่ผมงงมากก็คือ เมื่อสองปีก่อน บ่นไปว่าให้ CD ติดตั้งโปรแกรมมาทำไมเนี่ย ปีนี้ก็ยังเจอ เดี๋ยวๆ

ขนาดเครื่องเล็กลงกว่าเดิมเยอะมาก ผมว่าน่าจะประมาณ 20-30% เลยล่ะ แถมไม่มีเสาอากาศ WIFI ให้เกะกะตอนติดตั้งแล้วด้วย

ข้างหลังเครื่องเป็นที่ใส่ SIM ซึ่งก็แปลกๆนิดนึงตรงที่ซิมที่ใช้จะต้องเป็น Micro SIM ไม่ใช่ NANO Sim … ตอนนี้ผมว่ามือถือส่วนใหญ่ เป็น Nano SIM หมดแล้วนะ แทบไม่มี Micro SIM ยังโชคดีที่ว่า SIM รุ่นใหม่ ตัดเผื่อมาให้ใช้ได้หมดไม่ว่าจะขนาดไหนก็ตาม แต่ถ้าใครมี SIM เก่าจะเอามาใช้อาจจะต้องวิ่งไปหาตัว Plate มาแปลงให้ได้ขนาดเป็น Micro SIM ก่อนนะครับ หรือไม่ก็ไปขอ SIM ใหม่ที่ศูนย์บริการได้เลย ไม่มีค่าใช้จ่าย ในการขอ SIM ใหม่นะครับ

ใต้เครื่องจะมีรายละเอียดเกี่ยวกับ Device ID และ Device Password สำหรับต่อเข้า Cloud ครับ ตรงนี้แต่ละเครื่องไม่เหมือนกัน เป็นส่วนที่สำคัญมาก ไม่ควรให้ใครรู้นะครับ

แล้วก็ Switch ที่อยู่ใต้เครื่องเป็นการปรับโหมดการทำงานจาก WIFI เป็น 4G ตอนที่เราเซ็ตอัพระบบครั้งแรก เลือกเป็น WIFI ก่อนจะง่ายกว่า ซึ่งเมื่อเซ็ตอัพเสร็จแล้วก็กดใส่ SIM สลับ Switch เป็น 4G ก็ได้ครับ

สำหรับใต้กล้องในส่วนนี้จะเป็นช่องใส่ Micro SD Card ที่สามารถใส่การ์ดได้ใหญ่สุดถึง 128GB เลยทีเดียว น่าจะดูภาพย้อนหลังได้เป็นเดือนเลยล่ะ

“แต่ ช่อง MicroSD Card นี้ มันจะเหลื่อมๆ นืดนึงนะครับ เวลาใส่การ์ดระวังไม่เข้าตัว Reader แต่จะตกเข้าไปในเครื่องแทน ระวังด้วยนะครับ”

การเข้าดูกล้องวงจรปิดแบบเมื่อก่อน จะมีความยุ่งยากนิดนึง คือต้องทำ Network ให้ดีๆ รวมไปถึงต้องมี Public IP และทำ Forward Port เข้ามาที่ NVR เพื่อที่จะสามารถดูจากบนอินเทอร์เน็ตนอกบ้านได้

แต่ปัจจุบันที่ Cloud Computing เป็นเรื่องธรรมดาอย่างที่ผมเกริ่นไว้ เจ้ากล้อง True CCTV ตัวนี้ก็ทำให้ง่ายด้วยการจับผู้ใช้งานกับตัวกล้องไปเจอกันบน Cloud แทน ลดความยุ่งยากในการเซ็ตอัพ เพิ่มความสะดวกขึ้นอย่างมากครับ

ขั้นตอนการเซ็ตอัพครั้งแรก ก่อนอื่นให้ไปโหลด App ที่ชื่อว่า True CCTV ครับ มีทั้งบน Android และ iOS หรือกดโหลดตาม Link ข้างล่างนี่เลย

True CCTV iOS : https://itunes.apple.com/th/app/true-cctv/id1148471853?mt=8

True CCTV Android : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.truecctv&hl=th

ตัว App จะต้องใช้ True ID ในการเข้าใช้บริการ ใครมีอยู่แล้วก็ Login เข้ามาเลยครับ ใครไม่มีก็ไม่ต้องตกใจ สมัครฟรี พอสมัครแล้ว Login เสร็จแล้ว มาที่หน้า Device จะพบว่าว่างเปล่า เพราะเรายังไม่ได้เพิ่มอุปกรณ์กล้องของเราเข้าไปใน Account ของเรา

ให้แตะที่ขวาบน ตรงเครื่องหมาย + แล้วเลือก SmartLink ครับ ซึ่งเป็นวิธี Add อุปกรณ์เข้าระบบที่ผมว่าโคตรเท่เลยครับ ฮ่าๆ

จากนั้นก็กรอกชื่อ WIFI + รหัสผ่าน เข้าไปเพื่อเป็นข้อมูลสำหรับให้ App โยนให้ตัวกล้องครับ ระหว่างนี้ เสียบปลั๊กกล้องรอไว้เลยครับ

ปล. ตัวกล้องยังไม่รองรับ WIFI 5G ถ้าเกิด WIFI 2.4 Ghz ของบ้านใครหนาแน่นหน่อย เวลาดูภาพจากกล้องตัวนี้จะอืดๆหน่อยนะครับ

พอเรากด Next เท่านั้นแหละ มือถือเราก็จะกรีดร้องออกมาเหมือนจะไล่ผีครับ ซึ่งจริงๆแล้วเป็นการแปลงข้อมูลการเชื่อมต่อ WIFI ให้กลายเป็นคลื่นเสียงแล้วส่งเข้าไปยังตัวกล้องผ่านทางไมโครโฟนครับ โคตรเท่

พอเรา Add กล้องเสร็จแล้ว จะมีถามรหัสผ่านของกล้องตัวนี้ครับ ดูได้จากใต้ตัวกล้องเลยว่ารหัสผ่านอะไร

เมื่อเสร็จแล้วก็จะเห็นกล้องตัวนี้โผล่เข้ามาใน Account ของเราครับ วิธีการเข้าดูก็ไม่มีอะไรมาก แตะที่ปุ่ม Play ก็จะเข้าไปในกล้องตัวที่เราเพิ่มเอาไว้ได้เลย โดยที่หน้านี้ เราสามารถเพิ่มหลายๆกล้องก็ได้ครับ คุณอาจจะมีซัก 3-4 กล้องเพื่อดูภาพในจุดต่างๆของบ้าน การสลับไปสลับมา อาจจะใช้เวลานิดนึงเพราะเป็น Cloud แต่ก็ไม่ได้นานจนน่าเกลียดอะไร

สำหรับการควบคุมกล้องพื้นฐานดูจากวีดีโอนี้ได้เลยนะครับ

ส่วนนี้เป็นคุณภาพของภาพตอนกลางคืนครับ



ส่วนการสลับไป 3G/4G ค่อนข้างง่ายครับ หลังจากที่ Setup ด้วย WIFI เสร็จแล้ว ก็ผลักปุ่มใต้เครื่องจาก WIFI ไปที่ 4G แล้วก็ใส่ SIM แค่นี้มันก็ทำงานด้วย 4G แล้ว

ซึ่งถ้าเราผลักไปที่ 4G แสงใต้เครื่องจะเป็นตัวบอกสถานะของสัญญาณครับ ถ้าเป็นไฟสีฟ้าแปลว่าใช้ 4G ถ้าเป็นไฟสีเขียวแปลว่าใช้ 3G แต่ถ้าไฟสลับกัน เขียว/ฟ้า แปลว่ามีปัญหาเกี่ยวกับสัญญาณ Cellular ทำให้ออนไลน์ไม่ได้ครับ

อีกหนึ่ง Feature ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกล้อง True CCTV Gen2 ก็คือ ระบบจดจำตำแหน่งภาพที่เราจะดูนี่แหละครับ สามารถจดจำได้ทั้งหมด 4 จุด ครับ ทำยังไงดูในวีดีโอได้เลยครับ

เรื่องที่ชอบในกล้อง True CCTV Gen2

  1. เป็นกล้องที่ Setup ง่าย และสามารถนำไปพลิกแพลงใช้ได้ในหลายสถานการณ์ เพราะรองรับทั้ง WIFI และ 4G เลยทำให้ติดตั้งใช้งานในบ้าน หรือในสถานที่ๆ Internet ไปไม่ถึง เช่นรถเข็น บูทขายสินค้าในห้าง ขอแค่มีไฟฟ้าก็พอ แถมการติดตั้งก็ง่าย จะวางไว้เฉยๆ ก็ได้ หรือจะยึดกับขา Mount กล้องทั่วไปก็ทำได้เช่นเดียวกัน การปรับแต่งมุมก็ไม่ยาก เพราะเป็นกล้องแบบ PTZ (Pan / Tilt / Zoom) ดังนั้นอยากได้มุมไหนก็เลื่อนนิ้วไปจนกว่าภาพจะโอเค อยากดูมุมไหนเพิ่มก็ปาดนิ้วไปเรื่อยๆครับ
  2. การมีลำโพง และ ไมโครโฟนในตัวทำให้เพิ่มขอบเขตความสามารถได้เยอะมาก เช่นคุณอาจจะติดตั้งไว้ในจุดหน้าบ้าน (ทำกล่องกันน้ำด้วยนะ) แล้วเอาไว้พูดคุยกับคนที่มาส่งของก็ได้ครับ หรือใช้ฟังเสียงว่าในจุดที่กล้องส่องอยู่ มีใครกำลังพูดอะไรกันอยู่ครับ
  3. ตัวแอปใช้ Cloud ของ True ซึ่งถ้าคุณใช้ SIM 4G ของทรูหรือ Internet แบบ Fiber ของทรูก็จะทำให้ใช้เข้าถึงตัวกล้องได้เร็วมากขึ้น แถมตัว 4G Modem ที่ติดตั้งมาในกล้องยังรองรับความเร็วสูงสุดที่ 150Mbps ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องกล้อง Lag แต่อย่างใด แต่เอาเข้าจริง ผมเอา SIM 4Mbps Unlimited ใส่ยังเหลือๆเลยครับ เพราะภาพในกล้องใช้ Bandwidth ไม่เยอะเลย
  4. มีระบบ Alarm เวลาอะไรตัดหน้ากล้อง กล้องทั่วไปอาจจะมีระบบ Alarm แต่ไม่ได้เชื่อมอยู่กับระบบ Security ของบ้าน ดังนั้นเวลามัน Alarm อาจจะแค่ส่ง Notification มาหาเราเฉยๆ แต่เจ้านี่มีลำโพงที่ดังมากครับ ใครตัดผ่านหน้ากล้องแล้ว Alarm ดังทีนึง นี่เสียงแปดหลอดสุดๆ ถ้าโจรได้ยินก็ตกใจเผ่นแน่นอนอ่ะครับ
  5. สามารถตั้ง Favorite หน้าจอได้ถึง 5 มุม ซึ่งพวกกล้องแบบ PTZ เนี่ย บางทีเวลาเราเลื่อนกล้องไปดูมุมอื่นๆ ปรากฏว่าเราดันลืมเลื่อนกล้องกลับมาที่มุมที่เราต้องการ หรือ บางทีพอจะเลื่อนมุมแล้วไม่ได้มุมเดิมที่เราเคยตั้งเอาไว้ การที่ตัวกล้องสามารถทำ Favorite ได้ถึง 4 มุมนี่โคตรสะดวกมากๆครับ
  6. ราคาไม่แพง ถึงแม้ว่าราคาเปิดตัวจะราคา 4,999 บาท แต่ทางทรูเค้าก็จัดโปรมาให้เสร็จสรรพ ในราคาเหลือแค่ 1,990 บาท ขอเพียงเปิดโปร True IoT ราคา 399 บาท หรือ 4G IoT Shared Plan 599 บาท ระยะเวลา 12 เดือน ซึ่งสามารถไปสมัครได้ที่ True Shop ทั่วประเทศเลยครับ

เรื่องที่ไม่ชอบ

  1. ตัว SIM Slot ที่เป็น Micro SIM ที่ตอนนี้ไม่ค่อยจะมีใครใช้แล้ว น่าจะเปลี่ยนเป็น Nano SIM มาแทน
  2. สายไฟให้มาสั้นไปหน่อย คือ ระยะสายไฟมันประมาณ 1.8 เมตรเอง น่าจะมีซัก 2-3 เมตร จะได้ขยายขอบเขตการติดตั้งกล้องให้มันได้เยอะกว่านี้หน่อย
  3. ตัว App ยังทำ UI มาไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางเมนูหาไม่ค่อยจะเจอ เช่นเมนูทำ Favorite มุมกล้องนี่แหละ ถ้าไม่อ่าน Help นี่หาไม่เจอแน่ๆ

Check Also

รีวิว Auto-Empty Dock ของที่ต้องมีถ้ามีคุณ Roborock s7

ไม่ต้องเกริ่นเยอะ สำหรับคนที่ใช้งานหุ่นยนต์ทำความสะอาด ถึงแม้ว่ามันจะสะดวกสบายก็เถอะ แต่มันก็ยังเหลือ ภาระนิดๆ ให้คุณต้องมาจัดการบ่อยๆ นั่นก็คือ ต้องเอาฝุ่นใน Dustbin มันมาทิ้ง!! Facebook iconFacebookTwitter iconTwitterLINE iconLine

Leave a Reply